กรีนแลนด์ สวรรค์บนธารน้ำแข็ง ดินแดนที่เต็มไปด้วยความสวยงาม แหล่งท่องเที่ยวที่นักเดินทางหลายคนใฝ่ฝันอยากไปเยือน เพราะด้วยความสวยงามที่ถูกเล่าขานกันมา ทั้งในเรื่องของความงดงามของธรรมชาติ และ กิจกรรมที่ทำให้การมาพักผ่อนของคุณไม่น่าเบื่อ วันนี้เรามาทำความรู้จักกับกรีนแลนด์กันให้มากขึ้นกันค่ะ

กรีนแลนด์ เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลกและตั้งอยู่ทางทิศเหนือบริเวณที่แอตแลนติกพบกับมหาสมุทรอาร์ติค ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นน้ำแข็งไปหมดแล้ว และมีทะเลล้อมรอบเกาะอยู่ ดังนั้นชายฝั่งจะมีอุณหภูมิต่ำอยู่ตลอดเวลา และด้วยสภาพที่ตั้งจึงทำให้ภูมิอากาศของกรีนแลนด์เป็นภูมิอากาศหนาวเย็นแบบอาร์คติกแผ่นน้ำแข็งมีอาณาเขตกว้างปกคุลุมถึง 1,833,900 ตารางกิโลเมตร เท่ากับ พื้นที่ทั้งหมด 85 เปอร์เซ็นของพื้นที่ทั้งหมดของกรีนแลนด์และขยายไปถึง 2,500 กิโลเมตร จากทางเหนือจรดทางใต้ และกว้างกว่า 1,000 กิโลเมตรจากทางตะวันออกไปทางตะวันตก ทางตอนกลางของเกาะ มีแผ่นน้ำแข็งที่มีความหนามากกว่า 3 กิโลเมตรและ ถือได้ว่าเป็น 10 เปอร์เซ็นของพื้นที่ทั้งหมด

แม้ว่ากรีนแลนด์จะมีพื้นที่กว้างใหญ่ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีฐานะเป็นประเทศ ปัจจุบันกรีนแลนด์อยู่ในฐานะเป็นดินแดนปกครองตนเองของประเทศเดนมาร์ก มีอำนาจในการปกครองตนเอง มีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาล แต่ยังคงไม่มีอำนาจในด้านต่างประเทศและการทหาร

กรีนแลนด์ มีประชากรราว 56,370 คน ประกอบด้วยชาวอินูอิต 88% (รวมทั้งผู้เป็นลูกผสม) และชาวยุโรป 12% ซึ่งโดยมากเป็นชาวเดนมาร์ก ภาษาหลักคือ กรีนแลนด์ (kalaallisut หรือ grønlandsk) และเดนมาร์ก (dansk) โดยประชากรส่วนใหญ่พูดได้ทั้งสองภาษา ศาสนาที่ประชากรโดยมากนับถือ คือ ศาสนาคริสต์ นิกายลูเทอแรน ถึงแม้เกาะกรีนแลนด์จะเป็นเกาะใหญ่ แต่ประชากรก็อาศัยได้เฉพาะบางพื้นที่เท่านั้น เนื่องจากเกาะนี้มีน้ำแข็งปกคลุมอยู่มาก

นุก (Nuuk) เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของกรีนแลนด์ ตั้งอยู่ทางตอนใต้ฝั่งตะวันตกของเกาะกรีนแลนด์ มีพื้นที่ประมาณ 690 ตารางกิโลเมตร มีประชากรเพียงแค่ราว ๆ 17,000 คนเท่านั้น แต่ภายในเมืองแห่งนี้ก็เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นสนามบินนานาชาติ, ท่าเรือขนส่ง, มหาวิทยาลัย, โบสถ์, สนามกีฬาในร่ม, พิพิธภัณฑ์, โรงแรม, ร้านอาหาร เป็นต้น

กรีนแลนด์ เป็นดินแดนที่มีฤดูร้อนเพียงแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น คืออยู่ในช่วงระหว่างปลายเดือนมิถุนายน จนถึงกลาง ๆ เดือนสิงหาคม อุณหภูมิเฉลี่ยก็จะอยู่ที่ราว ๆ 10 องศาเซลเซียส ส่วนฤดูหนาวจะมีช่วงเวลาที่ยาวนาน โดยจะเริ่มตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกันยายน ไปจนถึงกลางเดือนเมษายน ในบางวันอุณหภูมิอาจจะติดลบลงไปมากกว่า -30 องศาเซลเซียสเลยทีเดียว

ขอบคุณข้อมูลจาก wikipedia.org

โปรแกรมทัวร์กรีนแลนด์ Click

http://happylongway.com/package/iceland-greenland/



ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ณ ปัจจุบัน ทัวร์ล่าแสงเหนือนั้นกำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก (ทาง Happylongway ของเราก็จัดทัวร์ด้วยนะครับ ==>ทัวร์ล่าแสงเหนือ<==) กำลังเป็นทัวร์สุดฮอตไม่แพ้ที่ใดๆในโลก แต่หลายๆคน อาจจะไม่รู้ว่าไอ้แสงเขียวๆ ที่สวยงามอยู่กลางท้องฟ้า ท่ามกลางความมืดมิดที่ใครๆ ก็ต่างอยากได้ชม และเก็บภาพเป็นระลึกสักครี่งในชีวิต ดังนั้น Happylongway จึงขอนำความรู้นี้มาฝากทุกคนกันครับ

แสงเหนือ หรือ ออโรร่า (Aurora)  เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ที่มีแสงเรืองบนท้องฟ้าในเวลากลางคืน โดยมักจะขึ้นในบริเวณแถบขั้วโลก โดยบางครั้งจะเรียกว่า แสงเหนือ หรือ แสงใต้ ขึ้นอยู่กับแหล่งกำเนิดปรากฏการออโรราเป็นตัวอย่างปรากฏการณ์ทางฟิสิกส์ที่น่าทึงที่สุดที่เกิดขึ้นในอวกาศที่ใกล้พื้นโลก มันอาจปรากฏจากสิ่งจางๆ เป็นวงนิ่ง แล้วระเบิดออกมาเป็นสีต่าง ๆ พุ่งกระจายภายในเวลาไม่กี่วินาที บางครั้งจะปรากฏเหมือนมันจะแตะกับพื้น หรือในเวลาอื่นอาจเห็นมันพุ่งสูงขึ้นสู่ท้องฟ้า แต่ความจริงแล้ว แสงออโรรานั้นเกิดขึ้นที่ความสูงจากพื้นโลก (altitudes) ประมาณ 100 ถึง 300 กิโลเมตร บริเวณที่อยู่บริเวณบรรยากาศชั้นบนที่อยู่ใกล้กับอวกาศ

ความหมายของชื่อแสงเหนือ แสงเหนือ ตามประวัตินั้นมีชื่อมากมายหลายชื่อ ชื่อวิทยาศาสตร์ของปรากฏการณ์นี้ คือ ออโรรา บอเรลลีส (Aurora Borealis) ซึ่งเป็นภาษาละติน แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า รุ่งอรุณสีแดงแห่งทิศเหนือ ซึ่งตั้งชื่อโดย กาลิเลโอ กาลิเลอิ (Galileo Galilei) (ค.ศ. 1564 – 1642)

คำว่า "Aurora Borealis" แปลว่า "แสงเหนือ" (Northern Light) ส่วน "Aurora Australis" แปลว่า "แสงใต้" (Southern Light) และคำว่า "Aurora Polaris" แปลว่า "แสงขั้วโลก" ใช้เรียกทั้งแสงเหนือและแสงใต้

แสงเหนือ-แสงใต้เกิดจากอะไร? ปรากฏการณ์แสงเหนือ แสงใต้ เกิดจากการชนกันระหว่างก๊าซในชั้นบรรยากาศโลกกับอนุภาคไฟฟ้าที่ถูกปล่อยออกมาจากพลังงานแสงอาทิตย์ ก่อให้เกิดการระเบิดเป็นลำแสงสีต่าง ๆ กันออกไป ขึ้นอยู่กับแสงนั้นเกิดขึ้นในช่วงชั้นบรรยากาศไหน และเกิดจากก๊าซอะไร

เพราะในระดับความสูงที่เหนือชั้นบรรยากาศ 100 กิโลเมตรขึ้นไป จะประกอบด้วยโมเลกุลไนโตรเจนและออกซิเจนเป็นส่วนใหญ่ โดยในระดับความสูงเหนือชั้นบรรยากาศประมาณ 100-200 กิโลเมตร ช่วงนี้จะมีโมเลกุลออกซิเจนหนาแน่นมาก สามารถก่อให้เกิดแสงออโรร่าสีเขียวอมเหลือง ซึ่งเป็นแสงเหนือ แสงใต้ยอดนิยมที่มักจะได้เห็นกันบ่อย ๆ

ส่วนแสงเหนือสีแดงจะปรากฏในช่วงชั้นบรรยากาศที่สูงเกิน 200 กิโลเมตรขึ้นไป แต่แสงสีฟ้าและสีม่วงมักจะปรากฏที่ช่วงความสูงเหนือชั้นบรรยากาศในช่วงที่ต่ำกว่า 120 กิโลเมตร อันเป็นช่วงชั้นที่มีโมเลกุลของไนโตรเจนหนาแน่นกว่าออกซิเจน

เราจะพบแสงเหนือได้ในช่วงใด?
ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของการเกิดแสงเหนือจะอยู่ในช่วงฤดูหนาวของทางขั้วโลก ซึ่งเป็นช่วงเดือนกันยายน ตุลาคม มีนาคม และเมษายน นอกจากนี้หากได้ไปเยือนขั้วโลกในขณะที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง ไร้เมฆ มีความมืดมิดสนิท มีสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างปลอดมลพิษ และเป็นช่วงเวลาตั้งแต่ 22.00-24.00 น. ก็จะยิ่งมีโอกาสในการเห็นแสงเหนือมากขึ้น

ทว่าหากใครต้องการความชัวร์ว่าอุตส่าห์เดินทางไปล่าแสงเหนือแล้วต้องไม่พลาดจะเก็บภาพเด็ด แนะนำให้ไปชมแสงเหนือในช่วงที่ผ่านวัฏจักรจุดสุริยะ (Sun Spot) มาแล้ว 2 วัน แต่อาจจะต้องรอกันนานนิดนึงเพราะวัฏจักรดังกล่าวจะเกิดขึ้นทุก ๆ 11 ปี ซึ่งล่าสุดก็เพิ่งมีช่วงแสงเหนือพีค ๆ ไปเมื่อปี ค.ศ. 2013 คร่อมปี ค.ศ. 2014 ซึ่งเป็นช่วงที่แสงเหนือจะเกิดได้ชัดเจนที่สุด ก่อนจะค่อย ๆ ลดระดับแสงลงจนกว่าจะเปล่งแสงเจิดจ้าขึ้นมาอีกครั้งเมื่อครบรอบวัฏจักร 11 ปี

เราสามารถพบแสงเหนือได้ที่ประเทศใดบ้าง?

- ประเทศสวีเดน (SWEDEN)
- ประเทศรัสเซีย (RUSSIA)
- ประเทศไอซ์แลนด์ (ICELAND)
- ประเทศฟินแลนด์ (FINLAND)
- รัฐอะแลสกา สหรัฐอเมริกา (ALASKA)
- ประเทศแคนนาดา (CANADA)
- ประเทศนอร์เวย์ (NORWAY)
- ประเทศกรีนแลนด์ (GREENLAND)

การไปไล่ล่าแสงเหนือ หรือการอยากพบกับแสงเหนือสักครั้งนั้นไม่ได้ง่ายดายนัก เพราะเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ ดั้งนั้นใครอยากได้ยลโฉม ก็ต้องมีทั้งเวลา เงิน และโชคชะตาเลยทีเดียวครับ

 



ปัจจุบันนี้คนไทยส่วนใหญ่ก็มักจะเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศอยู่กันเป็นประจำ และมีแนมโน้มที่จะมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆอีกด้วย หลายคนอาจจะทราบกันดีว่าก็มีหลายประเทศที่คนไทยสามารถเดินทางไปเยือนที่ไม่ต้องขอวีซ่าให้วุ่นวาย แต่ก็มีไม่น้อยว่าประเทศเหล่านี้ไม่ต้องขอวีซ่า  Happylongway จึงขอนำข้อมูลมาอัพเดท 32 ประเทศที่คนไทยนั้นไปโดยไม่ต้องขอวีซ่าได้

ซึ่งเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2561 กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ ก็ได้มีการอัปเดตรายชื่อประเทศและดินแดนที่คนไทยไม่ต้องขอวีซ่าเพิ่มเติม โดยมีรายชื่อ ดังนี้

รายชื่อ 32 ประเทศที่ไม่ต้องขอวีซ่า

  1. แอลเบเนีย * (เฉพาะวันที่ 1 เมษายน - 31 ตุลาคม 2561) สามารถพำนักอยู่ได้ 90 วัน
  2. อาร์เจนตินา สามารถพำนักอยู่ได้ 90 วัน
  3. บาห์เรน * สามารถพำนักอยู่ได้ 14 วัน
  4. บราซิล สามารถพำนักอยู่ได้ 90 วัน
  5. บรูไน * สามารถพำนักอยู่ได้ 14 วัน
  6. กัมพูชา สามารถพำนักอยู่ได้ 14 วัน
  7. ชิลี สามารถพำนักอยู่ได้ 90 วัน
  8. เอกวาดอร์ * สามารถพำนักอยู่ได้ 90 วัน
  9. จอร์เจีย * สามารถพำนักอยู่ได้ 365 วัน
  10. มณฑลไห่หนาน * สามารถพำนักอยู่ได้ 30 วัน
  11. ฮ่องกง สามารถพำนักอยู่ได้ 30 วัน
  12. อินโดนีเซีย * สามารถพำนักอยู่ได้ 30 วัน
  13. ญี่ปุ่น * สามารถพำนักอยู่ได้ 15 วัน
  14. สาธารณรัฐเกาหลี สามารถพำนักอยู่ได้ 90 วัน
  15. ลาว สามารถพำนักอยู่ได้ 30 วัน
  16. มาเก๊า สามารถพำนักอยู่ได้ 30 วัน
  17. มองโกเลีย สามารถพำนักอยู่ได้ 30 วัน
  18. มาเลเซีย * สามารถพำนักอยู่ได้ 30 วัน
  19. มัลดีฟส์ * สามารถพำนักอยู่ได้ 30 วัน
  20. เมียนมา (เฉพาะท่าอากาศยานนานาชาติ) สามารถพำนักอยู่ได้ 14 วัน
  21. ปานามา * สามารถพำนักอยู่ได้ 180 วัน
  22. เปรู สามารถพำนักอยู่ได้ 90 วัน
  23. ฟิลิปปินส์ * สามารถพำนักอยู่ได้ 30 วัน
  24. กาตาร์ * สามารถพำนักอยู่ได้ 30 วัน
  25. รัสเซีย สามารถพำนักอยู่ได้ 30 วัน
  26. เซเชลส์ * สามารถพำนักอยู่ได้ 30 วัน
  27. สิงคโปร์ * สามารถพำนักอยู่ได้ 30 วัน
  28. แอฟริกาใต้* สามารถพำนักอยู่ได้ 30 วัน
  29. ไต้หวัน * สามารถพำนักอยู่ได้ 30 วัน
  30. ตุรกี * สามารถพำนักอยู่ได้ 30 วัน
  31. วานูอาตู * สามารถพำนักอยู่ได้ 30 วัน
  32. เวียดนาม สามารถพำนักอยู่ได้ 30 วัน

หมายเหตุ

  * หมายถึงประเทศและดินแดนที่ประกาศยกเว้นการตรวจลงตราแก่ไทยฝ่ายเดียว ที่เหลือนอกจากนั้นคือประเทศที่ทำความตกลงทวิภาคีกับไทย

ทั้งนี้ก็ยังมีประเทศและดินแดนที่ผู้ถือหนังสือเดินทางไทยไม่จำเป็นต้องขอรับการตรวจลงตราล่วงหน้า โดยสามารถขอ Visa on Arrival (VOA) ได้ ณ สนามบินหรือสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของประเทศนั้น ๆ ได้เลย โดยมีรายชื่อประเทศหลัก ๆ ดังนี้

1. โบลิเวีย

ประเภทหนังสือเดินทาง : หนังสือเดินทางทูต / ราชการ / ธรรมดา
พำนักได้ไม่เกิน : 30 วัน
อัตราค่าธรรมเนียม : 135 เหรียญสหรัฐ (เฉพาะวีซ่าประเภทท่องเที่ยว)

2. ฟิจิ

ประเภทหนังสือเดินทาง : หนังสือเดินทางทูต / ราชการ / ธรรมดา
พำนักได้ไม่เกิน : 4 เดือน
อัตราค่าธรรมเนียม : ไม่มีค่าธรรมเนียม

3. จอร์แดน

ประเภทหนังสือเดินทาง : หนังสือเดินทางธรรมดา
พำนักได้ไม่เกิน : 30 วัน
อัตราค่าธรรมเนียม : 40 ดีนาร์จอร์แดน

4. คีร์กีซสถาน

ประเภทหนังสือเดินทาง : หนังสือเดินทางทูต / ราชการ / ธรรมดา
พำนักได้ไม่เกิน : 15 วัน - 1 เดือน
อัตราค่าธรรมเนียม : 50 เหรียญสหรัฐ / 60 เหรียญสหรัฐ (สำหรับหนังสือเดินทางธรรมดา)

5. เนปาล

ประเภทหนังสือเดินทาง : หนังสือเดินทางธรรมดา
พำนักได้ไม่เกิน : 15 / 30 / 90 วัน
อัตราค่าธรรมเนียม : 15 วัน 25 เหรียญสหรัฐ, 30 วัน 40 เหรียญสหรัฐ และ 90 วัน 100 เหรียญสหรัฐ

6. โอมาน

ประเภทหนังสือเดินทาง : หนังสือเดินทางธรรมดา
พำนักได้ไม่เกิน : 30 วัน
อัตราค่าธรรมเนียม : 20 เรียลโอมาน

7. หมู่เกาะโซโลมอน

ประเภทหนังสือเดินทาง : หนังสือเดินทางทูต / ราชการ / ธรรมดา
พำนักได้ไม่เกิน : 3 เดือน
อัตราค่าธรรมเนียม : ไม่มีค่าธรรมเนียม

8. ติมอร์-เลสเต

ประเภทหนังสือเดินทาง : หนังสือเดินทางธรรมดา
พำนักได้ไม่เกิน : 30 วัน
อัตราค่าธรรมเนียม : 30 เหรียญสหรัฐ

ทั้งนี้สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ consular.go.th

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
consular.go.th



พระราชวังในโลกนี้มีอยู่มากมายหลายแห่ง สำหรับพระราชวังแห่งนี้ นักท่องเที่ยวอย่างเราๆ ก็ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง เป็นพระราชวังเก่าแก่ และยังเป็นมรดกโลกอีกด้วย นั่นคือ พระราชวังเชิร์นบรุนน์ (ทัวร์ยุโรปตะวันออก) 

พระราชวังเชิร์นบรุนน์ (เยอรมัน: Schloss Schönbrunn) ตั้งอยู่ในกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ในอดีตเป็นที่ประทับของจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ฮับส์บูร์ก ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 18 จนถึง พ.ศ. 2461 ออกแบบโดย Johann Bernhard Fischer von Erlach และ Nicolaus Pacassi เป็นสถานที่รวบรวมผลงานทางศิลปะการตกแต่งชั้นเยี่ยมจำนวนมาก ภายในอุทยานเคยเป็นที่ตั้งของสวนสัตว์แห่งแรกของโลกเมื่อ พ.ศ. 2295 ปัจจุบันได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลก และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากในกรุงเวียนนา สาธารณรัฐออสเตรีย

พระราชวังเชินบรุนน์ นั้นมีพื้นที่ประมาณ 300 เอเคอร์ หรือประมาณ 759 ไร่ หรือประมาณ 1,214,400 ตารางเมตร เรียกได้ว่าใหญ่โตมโหฬารเป็นอย่างมาก โดยอยู่ในการครอบครองของราชวงศ์ฮับส์บูร์กนานกว่า 6 ศตวรรษ โดยเเต่เดิมนั้นในสมัยสมเด็จพระจักรพรรดิแม็กซีมีเลียนที่ 2 ใช้เป็นพื้นที่สำหรับการล่าสัตว์ จวบจนในยุคของสมเด็จพระจักรพรรดิเลโอโปลด์ที่ 1 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ก็ทรงให้สร้างพระราชวังเเห่งนี้ขึ้นมา ก่อนที่ในยุคของสมเด็จพระจักรพรรดินีมาเรีย เทเรซา จะต่อเติมเเละใช้เป็นพระราชวังหลักในยุคนั้น โดยเป็นอาคารที่มีสถาปัตยกรรมในสไตล์โรโคโคที่ใหญ่ที่สุดของประเทศออสเตรีย มีความสวยงามเเละลงตัวเป็นอย่างมาก

ภายในของ Schoenbrunn Palace นั้นมีห้องมากหว่า 1,441 ห้องด้วยกัน เเต่จะเปิดเข้าชมเพียงเเค่ 40 ห้องเท่านั้นเอง โดยในห้องห้องมิลเลียนส์นั้นมีการตกแต่งด้วยเครื่องลายครามที่สวยงามอย่างมาก เเละมีการจัดเเสดงข้างของเครื่องใช้ที่มาจากเมืองจีน นอกจากนี้เเล้วก็ยังมีภาพปูนเปียกที่สวยงามเเละวิจิตรเป็นอย่างมาก รวมทั้งมีเครื่องเรือนที่งดงามเป็นอย่างมาก ซึ่งบรรยากาศภายในนั้นจะเเสดงให้เห็นถึงความหรูหราเป็นอย่างมาก เเละในพื้นที่ภายในพระราชวังนั้นจะมีเป็นที่ตั้งของสวนสัตว์ที่มีความเก่าเเก่มากที่สุดในโลกเลยทีเดียวที่ยังเปิดดำเนินการมาจนถึงทุกวันนี้ตั้งเเต่ปี ค.ศ. 1752 นอกจากนี้เเล้วยังมีสวนเขาวงกต ที่สวยงามและน่ามาเดินหลงเล่นๆ ส่วนที่เรือนปลูกปาล์มนั้นก็นับว่าเป็นสถานที่ปลูกปาล์มในร่มที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย



Happylongway ขอแนะนำสถานที่ของคนที่อยากเสียว สถานที่ซึ่งการมาทัวร์สแกนดิเนเวีย และทัวร์นอร์เวย์ ควรแวะไปสักครั้งเป็นอย่างยิ่ง เรื่องเสียวที่ว่านี้ หากท่านได้ไปสัมผัสด้วยตัวเอง หรือแม้กระทั่งดูแค่รูปก็จะเสียวหน้าท้องไปตามๆกัน สถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้อยู่ที่ประเทศนอร์เวย์ นั่นคือ Trolltunga นั่นเอง

Trolltunga หน้าผาที่เสียวที่สุดของฟยอร์ดนอร์เวย์ เป็นภาษานอร์เวย์ แปลว่า ลิ้นของโทรลล์ (Troll s Tongue) ตามลักษณะที่เป็นหินแผ่นบางยื่นออกไปจากหน้าผา ที่ความสูง 700 ฟุตเหนือทะเลสาบ Ringedalsvatnet สูงที่ระดับ 1,100 จากระดับน้ำทะเล และเป็นส่วนหนึ่งของ S rfjorden Fjord ในเมือง Odda ทางตะวันตกของประเทศนอร์เวย์ เราจะได้เห็นวิวสวยสดงดงามเป็นที่สุด เป็นฟยอร์ด Fjord ที่มีลักษณะเป็นหุบเขาเว้าแหว่งบริเวณปากอ่าว ระยะทางในการเดินก็ทำให้เราหอบได้มีระยะทางไปกลับถึง 27.5 กิโลเมตร (นักเดินเขาไม่ควรพลาดเลย) ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 12 ชั่วโมง เรียกได้ว่าความเสียวไม่ได้มาง่ายๆเลย แต่ลองคิดนะครับ ถ้าเป็นเราไปยืนตรงจุดที่ยื่นออกไปนั้น แล้วถ่ายรูปจะฟินขนาดไหน (ถ้าเมืองไทยก็น่าจะเทียบกับภูกระดึงที่ผาหล่มสัก แต่ก็คนละเรื่องเลย)

 Trolltunga ไม่ได้เปิดให้เข้าชมทั้งปี แต่จำกัดช่วงเวลาให้เข้าชมเป็นฤดูกาล ไปได้เฉพาะช่วง กลางเดือนมิถุนายน จนถึง กลางเดือนกันยายน เพียง 3 เดือนเท่านั้น บอกแล้วความเสียวไม่ได้มาง่ายๆ และมีขีดจำกัด 555 จริงๆช่วงหน้าหนาวก็สามารถทัวร์หิมะได้ แต่มันหนาวและค่อนข้างอันตรายเป็นอย่างมาก

**หากต้องการค้างคืนในพื้นที่ภูเขารอบๆ Trolltunga ก็สามารถทำได้ แต่ต้องนำเต็นท์มาเอง**

ช่วงเวลาที่น่าไปเยือน และไม่ควรไปเสียวที่  Trolltunga

- 15 มิถุนายน - 15 กันยายน  เป็นช่วงที่ดี และเป็นช่วงที่แนะนำ
- 16 กันยายน - 28 ตุลาคม เป็นอีกช่วงที่สวยงาม แต่ควรมีไกด์นำทางไปด้วย
- 29 ตุลาคม - 16 กุมภาพันธ์ เดือนต้องห้าม ไม่แนะนำอันตรายมาก
- 17 กุมภาพันธ์ -14 มิถุนายน เป็นอีกช่วงที่แนะนำ และควรไปพร้อมไกด์นำเที่ยว (snowshoes)



Happylongway ขอแนะนำอีกสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่ง ในการทัวร์อิตาลี สถานที่ท่องเที่ยวที่มีอายุมากกว่า 2,000 ปี และเป็นแรงบันดาลใจให้กับภาพยนต์ชื่อดังมากมายในการสร้าง อาทิเช่น เกลดิเอเตอร์ (Gladiator ปี 2000) ที่มีฉากต่อสู้ ในสนามประลอง จะเป็นที่ใดไม่ได้นั่นคือ โคลอสเซียม นั่นเอง วันนี้เรามาทำความรู้จักกันในเชิงลึกดีกว่า

โคลอสเซียม (อังกฤษ: Colosseum), โคลิเซียม (อังกฤษ: Coliseum) หรือทวิอัฒจันทร์ฟลาเวียน (อังกฤษ: Flavian Amphitheatre; ละติน: Amphitheatrum Flavium; อิตาลี: Anfiteatro Flavio หรือ Colosseo) เป็นสนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม เริ่มสร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิเวสเปเซียนแห่งจักรวรรดิโรมัน และสร้างเสร็จในสมัยของจักรพรรดิไททัส ในคริสต์ศตวรรษที่ 1 อัฒจันทร์เป็นรูปวงกลมก่อด้วยอิฐและหินทรายวัดโดยรอบได้ประมาณ 527 เมตร สูง 57 เมตร สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 50,000 คน มีการออกแบบอย่างชาญฉลาดโดยสร้างให้สนามกีฬามีลักษณะเป็นรูปวงรี เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกเข้าใกล้นักกีฬา และมีการออกแบบทางระบายน้ำเพื่อไม่ให้น้ำท่วมขังในสนามขณะเกิดฝนตก ถือเป็นต้นแบบของสนามกีฬาต่างๆในปัจจุบัน ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 10 ปี

ประวัติของโคลอสเซียม
โคลอสเซียม (Colosseum) นั้นสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจของเวสปาเรียน จักรพรรดิโรม พระองค์เริ่มครองราชย์ในปี ค.ศ. 69 และด้วยความต้องการที่จะหล่อหลอมราชวงศ์ขึ้นใหม่สำหรับตระกูลของพระองค์ จึงริเริ่มการก่อสร้าง Mega Projectขึ้น และโคลอสเซียมก็เป็นส่วนหนึ่งในนั้น

และนี่ทำให้โคลอสเซียมเป็นสนามกีฬาของโรมที่ใหญ่ที่สุดและแพงที่สุดเท่าที่มีการสร้างขึ้น ด้วยทรัพย์สินตั้งแต่โต๊ะไปจนถึงเชิงเทียนทองคำแท้ที่โรมปล้นมาจากการยึดพระวิหารที่เยรูซาเลม มันจุผู้คนได้ราว 50,000 คน และสร้างเสร็จในปี ค.ศ. 80 เพื่อใช้แทนสนามกีฬาไม้ซึ่งถูกเผาไปในรัชสมัยของ จักรพรรดิเนโรด้วย

โคลอสเซียม เปิดใช้งานครั้งแรกในปี ค.ศ. 80 สมัยจักรพรรดิติตุส ซึ่งในปีดังกล่าวสนามยังไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์ เพื่อเปิดสนามแข่งขันกีฬาต่างๆ ทั้งเกลดิเอเตอร์สู้กันเอง โดยมีชีวิตเป็นเดิมพัน หรือสู้กับสัตว์ป่า อาทิ สิงโต เสือ และช้าง เป็นต้น โดยมีชีวิตเป็นเดิมพันเช่นกัน และบางทีอาจจะมีแสดงการต่อสู้ระหว่างสัตว์ป่าด้วยกันเอง เช่น เสือสู้กับสิงโต กระทิงสู้กับหมี ฯลฯ เรียกว่าสมัยนั้นมีอะไรที่ต่อสู้กันได้ ไม่พ้นถูกจับให้มาประลองยังที่ โคลอสเซียม อย่างแน่นอน

แต่อย่างไรก็ตามเกมต่อสู้ระหว่าง เกลดิเอเตอร์ ยังคงเป็นกีฬายอดฮิตที่สุดของผู้ชมชาวโรมันในสมัยนั้น จากหลักฐานบ่งบอกได้ว่า การต่อสู้ประเภทนี้มีมาก่อนการสร้างโคลอสเซียมเสียอีก แต่ในสมัยต่อมาจึงการพัฒนากฏ กติกา ต่างๆ แปลกใหม่ขึ้นมา เพื่อเพิ่มความเร้าใจให้กับคนดูนั่นเอง

การบูรณะโคลอสเซียม
จากภัยธรรมชาติแผ่นดินไหวหลายครั้ง และภาวะสงคราม งานบูรณะซ่อมแซมจึงเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 217 แต่ก็ถูกทอดทิ้งในเวลาต่อมา หลังจากเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ของอิตาลี ต่อมา โป๊ปเกรกอเรียส แมกนุส องค์ประมุขคริสตจักรคาทอลิก ในช่วงปี ค.ศ. 590-604 ได้ทำการบูรณะ และเปลี่ยน โลอสเซียม ให้เป็นโบสถ์ สนามประลองยุทธ์อันเลื่องชื่อ จึงกลายเป็นโบสถ์ตั้งแต่นั้นมา จนถึงยุคนโปเลียนขึ้นครองราชย์ ระหว่างปี 1809-1815 โคลอสเซียม ได้รับการบูรณะซ่อมแซมมาอย่างต่อเนื่อง ตลอดอายุกว่า 1,900 ปี

ล่าสุดเมื่อปี ค.ศ. 1992 ธนาคารเอกชนแห่งหนึ่ง ได้ให้งบประมาณบูรณะ โคลอสเซียม ครั้งใหญ่ แล้วเสร็จสมบูรณ์เมื่อปี 2003



คงเป็นความฝันของนักท่องเที่ยวหลายๆคน ที่จะได้ไปถ่ายรูปกับหอไอเฟล หอที่เป็นสัญญาลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศส หอที่ทุกครั้งที่ไปทัวร์ฝรั่งเศส หากไม่ได้ไปเก็บภาพ หรือยลโฉมแล้วคงไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่าเคยไปฝรั่งเศสแล้ว Happylongway จึงขอนำประวัติของหอไอเฟลที่ยิ่งใหญ่ มาเป็นข้อมูลให้ได้อ่านกัน (==>ทัวร์ฝรั่งเศส<==)

หอไอเฟล (ฝรั่งเศส: Tour Eiffel, ตูร์แอแฟล) เป็นหอคอยโครงสร้างเหล็กตั้งอยู่บนช็องเดอมาร์ บริเวณแม่น้ำแซน ในกรุงปารีส เป็นสัญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศสที่เป็นที่รู้จักกันทั่วโลก ทั้งยังเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกอีกด้วย

ชื่อของหอไอเฟล มีที่มาอย่างไร?
หอไอเฟลเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่โด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ตั้งชื่อตามกุสตาฟ ไอเฟล สถาปนิกและวิศวกรชั้นนำของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้ออกแบบหอคอยนี้ หอไอเฟลสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์ของงานแสดงสินค้าโลก ในปี ค.ศ. 1889 (Exposition universelle de Paris de 1889) เพื่อแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของประเทศฝรั่งเศส ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และความสวยทางศิลปะสถาปัตยกรรม หอคอยสูงงดงามแห่งนี้เป็นดาวเด่นที่สร้างความประทับใจแก่ผู้ร่วมงาน ซึ่งต่อมาได้รู้จักในนามหอไอเฟลและกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของกรุงปารีส และใน ค.ศ. 2006 นักท่องเที่ยวกว่า 6,719,200 คนได้เข้าเยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้ และกว่า 200,000,000 คนตั้งแต่เริ่มก่อสร้าง ส่งผลให้หอไอเฟลเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีคนเข้าชมมากที่สุดต่อปีอีกด้วย

หอไอเฟลสูงเท่าไร? และขนาดเท่าไหร่?
หอไอเฟล
สูง 324 เมตร (1,063 ฟุต) หรือสูงเท่ากับตึก 81 ชั้น

บนพื้นที่สี่เหลี่ยมจตุรัสของฐานหอคอยมีความกว้างด้านละ 426 ฟุต จะมีขาของหอคอยทั้ง 4 ในแต่ละด้าน รองรับน้ำหนักของโครงสร้างโลหะกว่า 7,000 ตัน บนฐานจะเป็นฐานก่ออิฐซึ่งจะฝังสมอยึด 2 ตัวสำหรับขาแต่ละข้าง จากฐานนี้ ขาจะถูกขึ้นเป็นมุม 60 องศาในลักษณะคานโครงเหล็ก คานนี้ประกอบไปด้วยท่อนเหล็กและเหล็กแผ่นที่ถูกยึดติดกันที่ด้านข้าง โครงสร้างที่ได้จะมีความเข็งแรงมาก แต่มีนำหนักเบา ประกอบง่าย ใช้มาตรฐานเดียวกัน และ มีราคาไม่แพง เมื่อประกอบเสร็จจะใช้ชิ้นส่วนโลหะทั้งหมด 18,000 ชิ้น และหมุดยึดอีก 2 ล้าน 5 แสน ตัว เพื่อประกอบเป็นหอคอย ทั้งหมดใช้เพียงเหล็กท่อนแบนและแผ่นเหล็กในการประกอบ

ขั้นตอนแรกของการก่อสร้าง ขาทั้ง 4 ต้นจะถูกสร้างขึ้นพร้อมๆกันและจะบรรจบกันที่ชั้นแรกของหอคอย ด้วยมุมที่มีความลาดชั้น จึงต้องติดตั้งคำยันที่ขาทั้ง 4 ต้น และติดตั้งคำยันตรงกลางของฐานหอคอยเพื่อรองรับคานในแนวศูนย์กลางที่จะยึดโครงสร้างต่างๆ เอาไว้ ที่ขาแต่ละข้างมีแม่แรงไฮโดรลิกที่สามารถปรับระดับความสูงได้อย่าง -อิสระ และ เพื่อให้ได้ความแม่นยำตามที่ต้องการ เมื่อขั้นตอนเหล่านี้เสร็จสิ้น กุสตาฟ ไอเฟล รู้ว่าไม่มีอะไรหยุดยั้งการบรรลุความฝันของเขาได้ หลายคนก็กลัวว่าหอคอยจะทำ-ลายทัศนียภาพของกรุงปารีส กลุ่มศิลปินหลายคนกล่าวโจมตีว่าเป็นการเอาเปรียบของยุคอุตสาหกรรม และเป็นโคมไฟที่น่าสมเพศที่ผลุดขึ้นมาจากปารีส กุสตาฟ ไอเฟล ได้โต้ตอบกลับอย่างรุนแรงว่า นี่คือสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดที่มนุษย์เคยสร้าง มันต้องมีความสวยงามในตัวของมันเอง

ประวัติของหอไอเฟล
ช่วงปลายศตวรรษที่ 19 กรุงปารีสได้เป็นเจ้าภาพจัดงานแสดงสินค้าโลกในปี ค.ศ. 1889 เพื่อฉลองการครบรอบ 100 ปีการปฏิวัติฝรั่งเศส ทางรัฐบาลฝรั่งเศสจึงได้จัดการประกวดออกแบบสิ่งก่อสร้างเพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์ของงาน มีการส่งแบบเข้าประกวดถึง 100 บริษัท โดยบริษัทที่ได้รับเลือกจากทางกรรมการของปารีสคือแบบของบริษัทของนายกุสตาฟ ไอเฟล และได้ทำสัญญากับรัฐบาลในวันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 1887 โดยทางรัฐบาลฝรั่งเศสกำหนดที่ก่อสร้างไว้ริมแม่น้ำแซน ปลายสวนสาธารณะช็องเดอมาร์ โดยนายกุสตาฟ ไอเฟลได้สัมปทานหอ 20 ปี โดยนับจากวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1890 จนถึงปี ค.ศ. 1910 ต่อจากนั้นจะเป็นกรรมสิทธิ์ของกรุงปารีส

หอไอเฟลเริ่มสร้างในวันที่ 26 มกราคม ค.ศ. 1887 โดยเริ่มจากการทำฐานของหอลึกลงไปถึงชั้นดินแข็ง เนื่องจากดินริมฝั่งแม่น้ำแซนมีความอ่อนมากแล้วจึงเริ่มทำตัวหอต่อจากนั้น การก่อสร้างใช้คนงาน 300 คน มีคนงานเสียชีวิต 1 คน โดยใช้เวลาในการก่อสร้างทั้งหมด 2ปี 2เดือน 5วัน และมีพิธีเปิดหอไอเฟลอย่างเป็นทางการในวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 1889 โดยในวันนั้น นายกุสตาฟ ไอเฟลได้นำธงฝรั่งเศสไปติดไว้บนยอดหอไอเฟล

เมื่อหอไอเฟลสร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2432 (ค.ศ. 1889) หอไอเฟลกลายเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในโลกแทนที่อนุสาวรีย์วอชิงตัน และได้ครองตำแหน่งนี้มาจนกระทั่งปี พ.ศ. 2473 (ค.ศ. 1930) ก็ได้เสียตำแหน่งให้แก่ตึกไครส์เลอร์ (319 เมตร หรือ 1,047 ฟุต) ที่เพิ่งสร้างเสร็จ

หอไอเฟลมีความสูง 300 เมตร (986 ฟุต) ซึ่งไม่รวม เสาอากาศ 24 เมตร (72 ฟุต) ด้านบน ถ้าเปรียบเทียบกับตึกแล้วจะมีประมาณ 75 ชั้น หอไอเฟลเป็นสิ่งปลูกสร้างที่สูงสุดในกรุงปารีส และหากไม่นับรวมเสากระจายคลื่น หอไอเฟลเป็นสิ่งปลูกสร้างสูงที่สุดอันดับสองในฝรั่งเศส รองจากสะพานมีโย

น้ำหนักเหล็กที่ใช้ก่อสร้างนั้นทั้งหมด 7,300-10,000 ตัน ส่วนจำนวนบันไดนั้นเปลี่ยนแปลงตลอด เมื่อแรกเริ่มนั้นมี 1710 ขั้น ในทศวรรษที่ 1980 มี 1920 ขั้น และในปัจจุบัน มี 1665 ชั้น

โดยแรกเริ่มนั้นหอไอเฟลถูกค่อนแคะจากชาวปารีสในเชิงไม่เห็นด้วยกับการก่อสร้าง ด้วยถูกมองว่าไม่สวยงาม จนถูกเรียกขานไปต่าง ๆ ในเชิงติดลบ และถึงขนาดเคยมีความคิดที่จะรื้อโครงสร้างออกด้วยเมื่อปี ค.ศ. 1909



โลซาน (อังกฤษ: Lausanne) ห่างจากเจนีวาไปทางตะวันตกเฉียงเหนือราว 60 กิโลเมตร มีประชากรประมาณ 140,000 คน โดยติดกับเมืองเอวีย็อง-เล-แบ็งของประเทศฝรั่งเศส ในอดีตเมืองโลซานเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรโรมัน เพราะพื้นที่ของเมืองอยู่ติดกับทะเลสาบเจนีวา ทำให้เชื่อมต่อกับอาณาจักรโรมันเมืองอื่นๆได้สะดวก ในอดีตเขตชุมชนตั้งอยู่ริมทะเลสาบ ด้วยชัยภูมิของเมืองดี จึงเป็นที่หมายปองของมหาอำนาจ ชาวบ้านจึงย้ายไปตั้งชุมชนบนเนินเขาเหนือทะเลสาบ ทำให้สถานที่ท่องเที่ยวในปัจจุบันแบ่งออกเป็น 2 ส่วนได้แก่ เขตเมืองเก่า (เนินเขาเหนือทะเลสาบ) และเขตริมทะเลสาบ

คนไทยรู้จักเมืองโลซานในฐานะที่ในหลวงรัชกาลที่ 8 รัชกาลที่ 9 สมเด็จพระพี่นางฯ ทรงศึกษาและทรงเจริญพระชนณ์ ณ เมืองนี้ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ และยังมีขนมยี่ห้อนึง ที่เรารู้อาจจะเคยเห็นกันมาบ้างที่มีจำหน่ายมานานนั่นคือ "ขนมโลซาน"

แหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจในโลซาน สวิตเซอร์แลนด์



Happylongway ขอนำเสนออีกสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่ง ในการทัวร์สวิตเซอร์แลนด์ สถานที่ซึ่งได้รับสมญานามว่าเป็น ไข่มุกของริเวียร่าแห่งสวิส และมีชื่อในภาษาฝรั่งเศสว่าทะเลสาบเลมอง (Lac Léman) นั่นคือ "ทะเลสาบเจนีวา (Lake Geneva)"  นั่นเอง ทะเลสาบเจนีวาตั้งอยู่สุดปลายทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศสวิสเซอร์แลนด์ มีพื้นที่ติดประเทศฝรั่งเศสและอยู่ริมทะเลสาบเจนีวา มีประชากรประมาณ 2 ล้านคนจากหลากหลายเชื้อชาติ  ทะเลสาบเจนีวามีอายุมากกว่า 10,000 แล้ว เกิดจากการละลายของน้ำแข็ง พายุ และที่ราบจากภูเขา มีลักษณะของทะเลสาบจะคล้ายรูปพระจันทร์เสี้ยว มีพื้นที่ 582 ตารางกิโลเมตร มีความยาว 73 กิโลเมตร ความกว้าง 14 กิโลเมตร เป็นทะเลสสาบที่ใหญ่ที่สุดในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และเป็นแหล่งน้ำจืดที่ใหญ่เป็นอันดับสองของทวีปยุโรปกลางรองจากทะเลสาบบาลาต้นในประเทศฮังการี เป็นที่ตั้งของเมืองสำคัญคือเมืองเจนีวาในประเทศสวิตเซอร์แลนด์

กิจกรรมในการท่องเที่ยวบริเวณทะเลสาบมีมากมาย ทั้งล่องเรือ ช้อปปิ้ง ชมความงามของธรรมชาติ และนอกจากทะเลสาบเจนีวาจะเป็นจุดแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของเมืองเจนีวาแล้ว  บริเวณโดยรอบทะเสสาบก็ยังเต็มไปด้วยสวนสาธารณะและต้นไม้ ดอกไม้ที่งดงาม และยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่ห้ามพลากเช่นน้ำพุจรวดเจ็ทโด (Jet d-Eau) ที่มีน้ำพุพุ่งสูงถึง 400 ฟุต  ด้านเหนือทะเลสาบเจนีวานอกจากเต็มไปด้วยพื้นที่สีเขียวแล้ว ยังมีพื้นที่เขตเมืองเก่าที่มีตรอกซอกซอยที่มีความน่าสนใจทางประวัติศาสตร์ รวมถึงวิหารเซนต์ปิแอร์ (St Peter's Cathedral) ซึ่งมีอายุมากกว่า 850 ปี เขตเมืองเก่าตั้งอยู่ทางตอนใต้ของแม่น้ำโรห์นกั้นกลางระหว่าง Jardin Anglais และ Parc des Bastionsในเมืองมีพิพิธภัณฑ์และหอศิลป์ต่างๆ ให้เที่ยวชม อาทิ อาคารสหประชาชาติและพิพิธภัณฑ์กาชาด สำหรับนักช้อปปิ้งที่มองหาเครื่องประดับอัญมณี นาฬิกาข้อมือและเสื้อผ้าจากดีไซเนอร์ชื่อดังจะไม่ผิดหวังเช่นเดียวกัน และที่นี่ยังมีร้านอาหารชื่อดังมากมาย รวมทั้งมีโรงแรมอันหรูหรา มีดีไซน์ที่น่าประทับใจ ที่นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง

เมืองเจนีวา เป็นเมืองที่มีประชากรมากเป็นอันดับสองของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ (รองจากซูริก) ตั้งอยู่บริเวณที่แม่น้ำโรนไหลออกสู่ทะเลสาบเจนีวา เมืองเจนีวาได้รับการยกย่องว่าเป็นเมืองนานาชาติ (Global City) เนื่องจากเป็นที่ตั้งขององค์กรระหว่างชาติที่สำคัญหลายองค์กร เจนีวาเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนเทือกเขาแอลป์ ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และยังเป็นเมืองคมนาคมหลักของทวีปยุโรปอีกด้วย



HappyLongWay ขอแนะนำอีกสถานที่อีกที่หนึ่งในการทัวร์สวิตเซอร์แลน์ และทัวร์ยุโรป นั่นคือน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์และยุโรป "น้ำตกไรน์ (Rheinfall)"

น้ำตกไรน์ (Rheinfall) เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่สุดของทวีปยุโรป ตั้งอยู่บนแม่น้ำไรน์บริเวณทางเหนือของนครซือริช บริเวณพรมแดนระหว่างรัฐชัฟเฮาเซินกับรัฐซือริชในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ น้ำตกแห่งนี้มีความกว้าง 150 เมตรและสูง 23 เมตร โดยมีสถิติความแรงของกระแสน้ำไหลที่น่าทึ่งดังนี้

- ในฤดูหนาวมีกระแสน้ำไหล 250 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
- ในฤดูร้อนมีกระแสน้ำไหล 700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
- เมื่อปีค.ศ. 1965 กระแสน้ำมีกำลังแรงสูงสุดถึง 1,250 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
- เมื่อปีค.ศ. 1921 กระแสน้ำมีกำลังต่ำสุดเพียง 95 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที

**หมายเหตุ 1 ลูกบาศก์เมตร มีค่าเท่ากับ 1,000 ลิตร

น้ำตกไรน์ เป็นน้ำตกที่มีทัศนียภาพที่งดงามมาก เป็นแรงบันดาลใจให้ วิลเลียม เวิร์ดสเวิร์ท แต่งกวีถึงความงามอันเป็นอมตะของน้ำตกแห่งนี้ในปี 1821  และน้ำตกไรน์แห่งนี้นั้นปลาทั่วไปไม่สามารถว่ายขึ้นน้ำตกแห่งนี้ได้ มีเพียงปลาไหล (eels) เท่านั้นที่มีเทคนิคเฉพาะตัวในการไต่ขึ้นน้ำตก น้ำตกแห่งนี้ถือกำเนิดขึ้นในยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้ายเมื่อราว 14,000 ถึง 17,000 ปีที่แล้ว ปัจจุบันถือเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีผู้เยี่ยมชมมากที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์

เราสามารถนั่งเรือไปยังเกาะกลางน้ำตกซึ่งเป็นจุดชมวิวน้ำตกไรน์อย่างใกล้ชิด บนเกาะมีธงชาติสวิตเซอร์แลนด์ปักไว้เป็นสัญลักษณ์ โดยไปขึ้นเรือที่ Schlössli Wörth ซึ่งอยู่ไม่ไกล มีเรือให้บริการทุกๆ 10 นาที ในเดือน เม.ย. และต.ค. ตั้งแต่ 11.00-17.00 น., พ.ค. และก.ย. 10.00-18.00 น. และมิ.ย.-ส.ค. 09.30-18.30 น. ตั๋วแบบ Felsenfahrt (Panorama-Sicht) ไป-กลับ อยู่ที่จุดชมวิวได้ 20 นาที หรือจะนั่งเรือข้ามแม่น้ำไรน์ไปที่ Schloss Laufen ปราสาทในเขตการปกครอง Laufen-Uhwiesen

โดยบริเวณ น้ำตกไรน์  ก็มีร้านอาหาร ร้านกาแฟ แหล่งช้อปปิ้ง ลานน้ำพุต่างๆ ให้เดินเล่นกันอีกด้วย



E-ticket คืออะไร? Happylongway ขอนำข้อมูลสำหรับหรือตั๋วเครื่องบินแบบ E-ticket มาให้ทราบ เพื่อเป็นข้อมูลการเดินทางท่องเที่ยวไปยังรอบโลก และเพื่อป้องกันการเข้าใจผิด และการโดนหลอกลวงอีกด้วย

Electronic Ticket หรือชื่อย่อว่า E-Ticket หรือตั๋วเครื่องบินแบบอิเล็กทรอนิกส์

นั้นคือตั๋วเครื่องบินรูปแบบใหม่ ที่สายการบินต่างๆได้พัฒนาบริการมาให้บริการแก่ลูกค้าเพื่อลดค่าใช้จ่ายและขจัดปัญหาในด้านต่างๆของผู้โดยสารให้ลดลงมากที่สุด E-Ticket คือ ตั๋วเครื่องบินในระบบออนไลน์ คือเมื่อท่านได้ทำการจองแล้ว ท่านจะได้ Booking Code เพื่อทำการ Check-in แทนตั๋วแบบแข็งในอดีต ซึ่งจะให้เสียเวลา และเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีกมากมาย ซึ่ง E-Ticket นี้สามารถส่งรายละเอียดผ่าน E-mail หรือ Fax หรือแค่ภาพได้ก็เพียงพอ โดยจะระบุรายละเอียดต่างๆของผู้โดยสารไว้ทั้งหมดรวมทั้ง Ticket No. หรือหมายเลขของตั๋วเครื่องบินเพื่อเป็นการยืนยันว่าท่านที่จองตั๋วเครื่องบินสามารถเดินทางได้แน่นอน โดยเราสามารถนำเลขตั๋วเครื่องบิน หรือเลข Booking Code  ไปตรวจสอบกับสายการบิน เพื่อป้องกันการโดนหลอกได้อีกเช่นกัน สาเหตุที่เปลี่ยนการตั๋วเล่มมาเป็น E-Ticket เพื่อความสะดวกสบายประหยัดทรัพยากร รวมถึงป้องกันการสูญหาย เพียงแต่ถ่ายรูปไว้ หรือพกแค่กระดาษ ก็สามารถใช้ได้

ความเป็นมาของ E-Ticket หรือ Electronic Ticket

ในปัจจุบันสายการบินได้ใช้ E-Ticket แทนตั๋วแบบเดิมซึ่งมีขั้นตอนยุ่งยากซับซ้อนและสิ้นเปลืองทรัพยากรต่างๆเป็นอย่างมาก ตามคำสั่งของสมาคมการบินระหว่างประเทศ หรือ IATA ลงวันที่ 1 มิถุนายน 2551 สายการบินที่เป็นสมาชิกของสมาคมต้องเปลี่ยนมาใช้บัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ ทันทีที่ท่านทำการสำรองที่นั่งโดยบัตรสารอิเล็กทรอนิกส์จะถูกบันทึกด้วยระบบออนไลน์ในระบบของสายการบิน หลังจากนั้นเพียงผู้โดยสารจัดพิมพ์รายละเอียดการสำรองที่นั่งก็สามารถขึ้นเครื่องได้ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ท่านสามารถใช้เพียงแค่หนังสือเดินทางของท่านเพื่อทำการเช็ก-อินได้ทันทีและภายในระยะเวลา 10 ปีนี้เราอาจจะไม่ใช้ตั๋วกระดาษอีกเลยก็เป็นได้

ความสะดวกของ Electronic Ticket

ท่านสามารถเดินทางได้ โดยเมื่อท่านตกลงซื้อตั๋วเครื่องบินกับทาง Happylongway แล้ว ท่านจะได้รับเอกสารการยืนยันผ่านทางอีเมล / ไลน์ หรือ Application ต่างๆ ท่านก็สามารถสั่งพิมพ์ตั๋วเครื่องบินได้จากเครื่อง Printer ของท่าน และท่านสามารถนำกระดาษที่ท่านสั่งพิมพ์จากเครื่อง Printer ของท่านไป check-in ได้เหมือนตั๋วเครื่องบินปกติ หรือเพียงแค่แสดง E-mail / รูปที่ Crop ไว้ให้เจ้าหน้าที่สายการบินก็ได้ เพราะข้อมูลการซื้อ E-Ticket ของท่านได้ถูกบันทึกอยู่ในระบบสำรองที่นั่งออนไลน์และระบบ check-in ของสายการบินนั้นๆเรียบร้อยแล้ว ข้อดีของระบบ Electronic Ticket อีกข้อก็คือราคาที่ถูกกว่าการซื้อตั๋วเครื่องบินแบบปกติเพราะสายการบินต่างๆจะมีต้นทุนในการผลิตที่ถูกกลงทำให้สามารถทำราคาตั๋วเครื่องบินในรูปแบบ E-Ticket ให้ถูกกว่าตั๋วเครื่องบินแบบเดิมได้ด้วย

E-Ticket สามารถใช้เดินทางได้จริงหรือเปล่า?

E-Ticket สามารถใช้เดินทางได้แน่นอนที่สุด เพราะในระบบ E-Ticket จะมีการระบุข้อมูลต่างๆของผู้โดยสารไว้อย่างครบถ้วน เช่น ชื่อ-นามสกุล เบอร์โทรศัพท์ติดต่อ Booking Number และ Ticket Number อีกด้วย สุดท้ายเพียงท่านโชว์ Passport พร้อมกับเลขหมาย E-ticket เพื่อเช็ค-อิน และท่านก็จะได้รับ Boarding pass เพื่อใช้สำหรับเดินทางได้ทันที เพียงแค่เท่านี้ท่านก็สามารถเดินทางได้อย่างสะดวกรวดเร็วแน่นอนแล้ว