กรีนแลนด์ สวรรค์บนธารน้ำแข็ง ดินแดนที่เต็มไปด้วยความสวยงาม แหล่งท่องเที่ยวที่นักเดินทางหลายคนใฝ่ฝันอยากไปเยือน เพราะด้วยความสวยงามที่ถูกเล่าขานกันมา ทั้งในเรื่องของความงดงามของธรรมชาติ และ กิจกรรมที่ทำให้การมาพักผ่อนของคุณไม่น่าเบื่อ วันนี้เรามาทำความรู้จักกับกรีนแลนด์กันให้มากขึ้นกันค่ะ

กรีนแลนด์ เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลกและตั้งอยู่ทางทิศเหนือบริเวณที่แอตแลนติกพบกับมหาสมุทรอาร์ติค ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นน้ำแข็งไปหมดแล้ว และมีทะเลล้อมรอบเกาะอยู่ ดังนั้นชายฝั่งจะมีอุณหภูมิต่ำอยู่ตลอดเวลา และด้วยสภาพที่ตั้งจึงทำให้ภูมิอากาศของกรีนแลนด์เป็นภูมิอากาศหนาวเย็นแบบอาร์คติกแผ่นน้ำแข็งมีอาณาเขตกว้างปกคุลุมถึง 1,833,900 ตารางกิโลเมตร เท่ากับ พื้นที่ทั้งหมด 85 เปอร์เซ็นของพื้นที่ทั้งหมดของกรีนแลนด์และขยายไปถึง 2,500 กิโลเมตร จากทางเหนือจรดทางใต้ และกว้างกว่า 1,000 กิโลเมตรจากทางตะวันออกไปทางตะวันตก ทางตอนกลางของเกาะ มีแผ่นน้ำแข็งที่มีความหนามากกว่า 3 กิโลเมตรและ ถือได้ว่าเป็น 10 เปอร์เซ็นของพื้นที่ทั้งหมด

แม้ว่ากรีนแลนด์จะมีพื้นที่กว้างใหญ่ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีฐานะเป็นประเทศ ปัจจุบันกรีนแลนด์อยู่ในฐานะเป็นดินแดนปกครองตนเองของประเทศเดนมาร์ก มีอำนาจในการปกครองตนเอง มีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาล แต่ยังคงไม่มีอำนาจในด้านต่างประเทศและการทหาร

กรีนแลนด์ มีประชากรราว 56,370 คน ประกอบด้วยชาวอินูอิต 88% (รวมทั้งผู้เป็นลูกผสม) และชาวยุโรป 12% ซึ่งโดยมากเป็นชาวเดนมาร์ก ภาษาหลักคือ กรีนแลนด์ (kalaallisut หรือ grønlandsk) และเดนมาร์ก (dansk) โดยประชากรส่วนใหญ่พูดได้ทั้งสองภาษา ศาสนาที่ประชากรโดยมากนับถือ คือ ศาสนาคริสต์ นิกายลูเทอแรน ถึงแม้เกาะกรีนแลนด์จะเป็นเกาะใหญ่ แต่ประชากรก็อาศัยได้เฉพาะบางพื้นที่เท่านั้น เนื่องจากเกาะนี้มีน้ำแข็งปกคลุมอยู่มาก

นุก (Nuuk) เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของกรีนแลนด์ ตั้งอยู่ทางตอนใต้ฝั่งตะวันตกของเกาะกรีนแลนด์ มีพื้นที่ประมาณ 690 ตารางกิโลเมตร มีประชากรเพียงแค่ราว ๆ 17,000 คนเท่านั้น แต่ภายในเมืองแห่งนี้ก็เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นสนามบินนานาชาติ, ท่าเรือขนส่ง, มหาวิทยาลัย, โบสถ์, สนามกีฬาในร่ม, พิพิธภัณฑ์, โรงแรม, ร้านอาหาร เป็นต้น

กรีนแลนด์ เป็นดินแดนที่มีฤดูร้อนเพียงแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น คืออยู่ในช่วงระหว่างปลายเดือนมิถุนายน จนถึงกลาง ๆ เดือนสิงหาคม อุณหภูมิเฉลี่ยก็จะอยู่ที่ราว ๆ 10 องศาเซลเซียส ส่วนฤดูหนาวจะมีช่วงเวลาที่ยาวนาน โดยจะเริ่มตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกันยายน ไปจนถึงกลางเดือนเมษายน ในบางวันอุณหภูมิอาจจะติดลบลงไปมากกว่า -30 องศาเซลเซียสเลยทีเดียว

ขอบคุณข้อมูลจาก wikipedia.org

โปรแกรมทัวร์กรีนแลนด์ Click

http://happylongway.com/package/iceland-greenland/



ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ณ ปัจจุบัน ทัวร์ล่าแสงเหนือนั้นกำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก (ทาง Happylongway ของเราก็จัดทัวร์ด้วยนะครับ ==>ทัวร์ล่าแสงเหนือ<==) กำลังเป็นทัวร์สุดฮอตไม่แพ้ที่ใดๆในโลก แต่หลายๆคน อาจจะไม่รู้ว่าไอ้แสงเขียวๆ ที่สวยงามอยู่กลางท้องฟ้า ท่ามกลางความมืดมิดที่ใครๆ ก็ต่างอยากได้ชม และเก็บภาพเป็นระลึกสักครี่งในชีวิต ดังนั้น Happylongway จึงขอนำความรู้นี้มาฝากทุกคนกันครับ

แสงเหนือ หรือ ออโรร่า (Aurora)  เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ที่มีแสงเรืองบนท้องฟ้าในเวลากลางคืน โดยมักจะขึ้นในบริเวณแถบขั้วโลก โดยบางครั้งจะเรียกว่า แสงเหนือ หรือ แสงใต้ ขึ้นอยู่กับแหล่งกำเนิดปรากฏการออโรราเป็นตัวอย่างปรากฏการณ์ทางฟิสิกส์ที่น่าทึงที่สุดที่เกิดขึ้นในอวกาศที่ใกล้พื้นโลก มันอาจปรากฏจากสิ่งจางๆ เป็นวงนิ่ง แล้วระเบิดออกมาเป็นสีต่าง ๆ พุ่งกระจายภายในเวลาไม่กี่วินาที บางครั้งจะปรากฏเหมือนมันจะแตะกับพื้น หรือในเวลาอื่นอาจเห็นมันพุ่งสูงขึ้นสู่ท้องฟ้า แต่ความจริงแล้ว แสงออโรรานั้นเกิดขึ้นที่ความสูงจากพื้นโลก (altitudes) ประมาณ 100 ถึง 300 กิโลเมตร บริเวณที่อยู่บริเวณบรรยากาศชั้นบนที่อยู่ใกล้กับอวกาศ

ความหมายของชื่อแสงเหนือ แสงเหนือ ตามประวัตินั้นมีชื่อมากมายหลายชื่อ ชื่อวิทยาศาสตร์ของปรากฏการณ์นี้ คือ ออโรรา บอเรลลีส (Aurora Borealis) ซึ่งเป็นภาษาละติน แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า รุ่งอรุณสีแดงแห่งทิศเหนือ ซึ่งตั้งชื่อโดย กาลิเลโอ กาลิเลอิ (Galileo Galilei) (ค.ศ. 1564 – 1642)

คำว่า "Aurora Borealis" แปลว่า "แสงเหนือ" (Northern Light) ส่วน "Aurora Australis" แปลว่า "แสงใต้" (Southern Light) และคำว่า "Aurora Polaris" แปลว่า "แสงขั้วโลก" ใช้เรียกทั้งแสงเหนือและแสงใต้

แสงเหนือ-แสงใต้เกิดจากอะไร? ปรากฏการณ์แสงเหนือ แสงใต้ เกิดจากการชนกันระหว่างก๊าซในชั้นบรรยากาศโลกกับอนุภาคไฟฟ้าที่ถูกปล่อยออกมาจากพลังงานแสงอาทิตย์ ก่อให้เกิดการระเบิดเป็นลำแสงสีต่าง ๆ กันออกไป ขึ้นอยู่กับแสงนั้นเกิดขึ้นในช่วงชั้นบรรยากาศไหน และเกิดจากก๊าซอะไร

เพราะในระดับความสูงที่เหนือชั้นบรรยากาศ 100 กิโลเมตรขึ้นไป จะประกอบด้วยโมเลกุลไนโตรเจนและออกซิเจนเป็นส่วนใหญ่ โดยในระดับความสูงเหนือชั้นบรรยากาศประมาณ 100-200 กิโลเมตร ช่วงนี้จะมีโมเลกุลออกซิเจนหนาแน่นมาก สามารถก่อให้เกิดแสงออโรร่าสีเขียวอมเหลือง ซึ่งเป็นแสงเหนือ แสงใต้ยอดนิยมที่มักจะได้เห็นกันบ่อย ๆ

ส่วนแสงเหนือสีแดงจะปรากฏในช่วงชั้นบรรยากาศที่สูงเกิน 200 กิโลเมตรขึ้นไป แต่แสงสีฟ้าและสีม่วงมักจะปรากฏที่ช่วงความสูงเหนือชั้นบรรยากาศในช่วงที่ต่ำกว่า 120 กิโลเมตร อันเป็นช่วงชั้นที่มีโมเลกุลของไนโตรเจนหนาแน่นกว่าออกซิเจน

เราจะพบแสงเหนือได้ในช่วงใด?
ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของการเกิดแสงเหนือจะอยู่ในช่วงฤดูหนาวของทางขั้วโลก ซึ่งเป็นช่วงเดือนกันยายน ตุลาคม มีนาคม และเมษายน นอกจากนี้หากได้ไปเยือนขั้วโลกในขณะที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง ไร้เมฆ มีความมืดมิดสนิท มีสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างปลอดมลพิษ และเป็นช่วงเวลาตั้งแต่ 22.00-24.00 น. ก็จะยิ่งมีโอกาสในการเห็นแสงเหนือมากขึ้น

ทว่าหากใครต้องการความชัวร์ว่าอุตส่าห์เดินทางไปล่าแสงเหนือแล้วต้องไม่พลาดจะเก็บภาพเด็ด แนะนำให้ไปชมแสงเหนือในช่วงที่ผ่านวัฏจักรจุดสุริยะ (Sun Spot) มาแล้ว 2 วัน แต่อาจจะต้องรอกันนานนิดนึงเพราะวัฏจักรดังกล่าวจะเกิดขึ้นทุก ๆ 11 ปี ซึ่งล่าสุดก็เพิ่งมีช่วงแสงเหนือพีค ๆ ไปเมื่อปี ค.ศ. 2013 คร่อมปี ค.ศ. 2014 ซึ่งเป็นช่วงที่แสงเหนือจะเกิดได้ชัดเจนที่สุด ก่อนจะค่อย ๆ ลดระดับแสงลงจนกว่าจะเปล่งแสงเจิดจ้าขึ้นมาอีกครั้งเมื่อครบรอบวัฏจักร 11 ปี

เราสามารถพบแสงเหนือได้ที่ประเทศใดบ้าง?

- ประเทศสวีเดน (SWEDEN)
- ประเทศรัสเซีย (RUSSIA)
- ประเทศไอซ์แลนด์ (ICELAND)
- ประเทศฟินแลนด์ (FINLAND)
- รัฐอะแลสกา สหรัฐอเมริกา (ALASKA)
- ประเทศแคนนาดา (CANADA)
- ประเทศนอร์เวย์ (NORWAY)
- ประเทศกรีนแลนด์ (GREENLAND)

การไปไล่ล่าแสงเหนือ หรือการอยากพบกับแสงเหนือสักครั้งนั้นไม่ได้ง่ายดายนัก เพราะเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ ดั้งนั้นใครอยากได้ยลโฉม ก็ต้องมีทั้งเวลา เงิน และโชคชะตาเลยทีเดียวครับ

 



ปัจจุบันนี้คนไทยส่วนใหญ่ก็มักจะเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศอยู่กันเป็นประจำ และมีแนมโน้มที่จะมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆอีกด้วย หลายคนอาจจะทราบกันดีว่าก็มีหลายประเทศที่คนไทยสามารถเดินทางไปเยือนที่ไม่ต้องขอวีซ่าให้วุ่นวาย แต่ก็มีไม่น้อยว่าประเทศเหล่านี้ไม่ต้องขอวีซ่า  Happylongway จึงขอนำข้อมูลมาอัพเดท 32 ประเทศที่คนไทยนั้นไปโดยไม่ต้องขอวีซ่าได้

ซึ่งเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2561 กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ ก็ได้มีการอัปเดตรายชื่อประเทศและดินแดนที่คนไทยไม่ต้องขอวีซ่าเพิ่มเติม โดยมีรายชื่อ ดังนี้

รายชื่อ 32 ประเทศที่ไม่ต้องขอวีซ่า

  1. แอลเบเนีย * (เฉพาะวันที่ 1 เมษายน - 31 ตุลาคม 2561) สามารถพำนักอยู่ได้ 90 วัน
  2. อาร์เจนตินา สามารถพำนักอยู่ได้ 90 วัน
  3. บาห์เรน * สามารถพำนักอยู่ได้ 14 วัน
  4. บราซิล สามารถพำนักอยู่ได้ 90 วัน
  5. บรูไน * สามารถพำนักอยู่ได้ 14 วัน
  6. กัมพูชา สามารถพำนักอยู่ได้ 14 วัน
  7. ชิลี สามารถพำนักอยู่ได้ 90 วัน
  8. เอกวาดอร์ * สามารถพำนักอยู่ได้ 90 วัน
  9. จอร์เจีย * สามารถพำนักอยู่ได้ 365 วัน
  10. มณฑลไห่หนาน * สามารถพำนักอยู่ได้ 30 วัน
  11. ฮ่องกง สามารถพำนักอยู่ได้ 30 วัน
  12. อินโดนีเซีย * สามารถพำนักอยู่ได้ 30 วัน
  13. ญี่ปุ่น * สามารถพำนักอยู่ได้ 15 วัน
  14. สาธารณรัฐเกาหลี สามารถพำนักอยู่ได้ 90 วัน
  15. ลาว สามารถพำนักอยู่ได้ 30 วัน
  16. มาเก๊า สามารถพำนักอยู่ได้ 30 วัน
  17. มองโกเลีย สามารถพำนักอยู่ได้ 30 วัน
  18. มาเลเซีย * สามารถพำนักอยู่ได้ 30 วัน
  19. มัลดีฟส์ * สามารถพำนักอยู่ได้ 30 วัน
  20. เมียนมา (เฉพาะท่าอากาศยานนานาชาติ) สามารถพำนักอยู่ได้ 14 วัน
  21. ปานามา * สามารถพำนักอยู่ได้ 180 วัน
  22. เปรู สามารถพำนักอยู่ได้ 90 วัน
  23. ฟิลิปปินส์ * สามารถพำนักอยู่ได้ 30 วัน
  24. กาตาร์ * สามารถพำนักอยู่ได้ 30 วัน
  25. รัสเซีย สามารถพำนักอยู่ได้ 30 วัน
  26. เซเชลส์ * สามารถพำนักอยู่ได้ 30 วัน
  27. สิงคโปร์ * สามารถพำนักอยู่ได้ 30 วัน
  28. แอฟริกาใต้* สามารถพำนักอยู่ได้ 30 วัน
  29. ไต้หวัน * สามารถพำนักอยู่ได้ 30 วัน
  30. ตุรกี * สามารถพำนักอยู่ได้ 30 วัน
  31. วานูอาตู * สามารถพำนักอยู่ได้ 30 วัน
  32. เวียดนาม สามารถพำนักอยู่ได้ 30 วัน

หมายเหตุ

  * หมายถึงประเทศและดินแดนที่ประกาศยกเว้นการตรวจลงตราแก่ไทยฝ่ายเดียว ที่เหลือนอกจากนั้นคือประเทศที่ทำความตกลงทวิภาคีกับไทย

ทั้งนี้ก็ยังมีประเทศและดินแดนที่ผู้ถือหนังสือเดินทางไทยไม่จำเป็นต้องขอรับการตรวจลงตราล่วงหน้า โดยสามารถขอ Visa on Arrival (VOA) ได้ ณ สนามบินหรือสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของประเทศนั้น ๆ ได้เลย โดยมีรายชื่อประเทศหลัก ๆ ดังนี้

1. โบลิเวีย

ประเภทหนังสือเดินทาง : หนังสือเดินทางทูต / ราชการ / ธรรมดา
พำนักได้ไม่เกิน : 30 วัน
อัตราค่าธรรมเนียม : 135 เหรียญสหรัฐ (เฉพาะวีซ่าประเภทท่องเที่ยว)

2. ฟิจิ

ประเภทหนังสือเดินทาง : หนังสือเดินทางทูต / ราชการ / ธรรมดา
พำนักได้ไม่เกิน : 4 เดือน
อัตราค่าธรรมเนียม : ไม่มีค่าธรรมเนียม

3. จอร์แดน

ประเภทหนังสือเดินทาง : หนังสือเดินทางธรรมดา
พำนักได้ไม่เกิน : 30 วัน
อัตราค่าธรรมเนียม : 40 ดีนาร์จอร์แดน

4. คีร์กีซสถาน

ประเภทหนังสือเดินทาง : หนังสือเดินทางทูต / ราชการ / ธรรมดา
พำนักได้ไม่เกิน : 15 วัน - 1 เดือน
อัตราค่าธรรมเนียม : 50 เหรียญสหรัฐ / 60 เหรียญสหรัฐ (สำหรับหนังสือเดินทางธรรมดา)

5. เนปาล

ประเภทหนังสือเดินทาง : หนังสือเดินทางธรรมดา
พำนักได้ไม่เกิน : 15 / 30 / 90 วัน
อัตราค่าธรรมเนียม : 15 วัน 25 เหรียญสหรัฐ, 30 วัน 40 เหรียญสหรัฐ และ 90 วัน 100 เหรียญสหรัฐ

6. โอมาน

ประเภทหนังสือเดินทาง : หนังสือเดินทางธรรมดา
พำนักได้ไม่เกิน : 30 วัน
อัตราค่าธรรมเนียม : 20 เรียลโอมาน

7. หมู่เกาะโซโลมอน

ประเภทหนังสือเดินทาง : หนังสือเดินทางทูต / ราชการ / ธรรมดา
พำนักได้ไม่เกิน : 3 เดือน
อัตราค่าธรรมเนียม : ไม่มีค่าธรรมเนียม

8. ติมอร์-เลสเต

ประเภทหนังสือเดินทาง : หนังสือเดินทางธรรมดา
พำนักได้ไม่เกิน : 30 วัน
อัตราค่าธรรมเนียม : 30 เหรียญสหรัฐ

ทั้งนี้สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ consular.go.th

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
consular.go.th



BLAUSEE LAKE (BLUE LAKE) ทะเลสาบเบลาเซ (อ่านว่า เบลา-เซ แปลว่า ทะเลสาบสีน้ำเงิน / ทะเลสาบเปลี่ยวจิต) เป็นอีกหนึ่งทะเลสาบที่มีความสวยงามยิ่งนัก อยู่ท่ามกลางเทือกเขา ต้นไม้ และธรรมชาติอันสมบูรณ์ มีต้นกำเนิดจากแหล่งน้ำใต้ดินหรือน้ำบาดาล BLAUSEE LAKE เป็นทะเลสาบของเอกชน ที่อยู่ในเขต Bernese Oberland อยู่ระหว่างเมือง Frutigen และ Kandersteg ในสวิตเซอร์แลนด์ (ทัวร์สวิตเซอร์แลนด์) เป็นที่ๆใช้ไว้สำหรับเพาะพันธุ์ปลาเทราซ์ ด้วยความสวยงามของทะเลสาบโดยมีจุดเด่นของสีน้ำทะเลสาบมีสีน้ำเขียวมรกตและมีความใสจนมองเห็นพื้นดินด้านล่างและสามารถมองเห็นปลาเทราซ์แวกว่ายในทะเลสาบอีกด้วยจนได้ขึ้นชื่อว่า Blausee Blue Trout และยังทะเลสาบที่ถูกจัดเป็นมรดกของโลก โดย Unesco อีกด้วย

ตำนานและเรื่องเล่า
ตำนานว่ามีหนุ่มสาวคู่รักคู่หนึ่งมักจะมาเจอกันที่ทะเลสาบแห่งนี้เป็นประจำ อยู่มาวันหนึ่งฝ่ายชายได้ตายจากไป หญิงสาวจึงมาร้องไห้คร่ำครวญคำนึงหาถึงคนรักที่จากไปที่ทะเลสาบแห่งนี้ จนน้ำในทะเลสาบกลายเป็นสีฟ้าจากน้ำตาของนาง เป็นตำนานความรักที่มั่นคงลึกซึ้งและรันทดใจในเวลาเดียวกัน

BLAUSEE LAKE เป็นทะเลสาบขนาดเล็ก มีขนาด 6,400 ตารางเมตร และมีความลึกเฉลี่ยเพียง 10 เมตรเท่านั้น ทำให้เราสามารถมองเห็นพื้นของทะเลสาบได้เลย



ว่ากันว่ารถไฟ เป็นพาหนะที่ปลอดภัยที่สุดในโลก ซึ่งมนุษย์อย่างเราๆคงได้มีโอกาสนั่งมาแล้ว เพราะอย่างบ้านเราก็มีตั้งแต่สมัย รัชกาลที่ 5 อย่างในเมืองไทยเองรถไฟสายโรแมนติกก็มีหลายที่ หรือบนโลกใบนี้ก็มีมากมายหลายที่  แต่วันนี้ Happylongway ขอแนะนำข้อมูลสำหรับใครที่ชื่นชอบในการนั่งรถไฟกินลม ชมวิว สไตล์สวิตเซอร์แลนด์ และยุโรป นั่นคือ  Bernina Express รถไฟสายโรแมนติก ที่สวยและโรแมนติกที่สุดในยุโรป

Bernina Express  เส้นทางรถไฟที่ข้ามเทือกเขาแอลป์ ระหว่างเมือง คูร์ (Chur) มุ่งหน้าสู่ปลายทางเมืองติราโน่ (Tirano) ในประเทศอิตาลี มีระยะทางทั้งหมด 148 กิโลเมตร และใช้เวลาเดินทางทั้งสิ้น 4 ชั่วโมง 15 นาที Bernina Express (เบอร์นิน่า เอ็กซ์เพลส) ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเส้นทางรถไฟที่สวยที่สุด สูงที่สุดในยุโรป และเป็นเส้นทางรถไฟสายเก่าแก่ที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์ อายุกว่า 100 ปี ให้บริการมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1910 จนถึงปัจจุบัน และเป็น 1 ใน 3 เส้นทางรถไฟที่ได้รับการยกย่องจาก UNESCO ให้เป็นรถไฟเส้นทางสายมรดกโลก อีกทั้งเส้นทางรถไฟช่วงวนรอบสะพาน Brusio Spiral Viaduct แบบ 360 องศานั้นได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกอีกด้วย ระหว่างทางจะผ่านอุโมงค์กว่า 55 แห่ง สะพานถึง 196 สะพาน ตลอดเส้นทาง

Bernina Express ยังเป็นเส้นทางรถไฟที่สูงที่สุดในยุโรปอีกด้วย มีระดับความสูงเหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 2,253 เมตร  รถไฟจะวิ่งไต่ระดับความสูงขึ้นไป จุดสูงที่สูดคือ Ospizio Bernina สูงเหนือระดับน้ำทะเล 2,553 เมตร

เพราะอะไร Bernina Express ถึงได้ชื่อว่าเป็นรถไฟสายโรแมนติก และสวยงามที่สุดในยุโรป?
เพราะตลอดเส้นทางการเดินทางนั้น จะได้ชมวิวทั้งเทือกเขาแอลป์ ธรรมข้างทางอันสวยงาม ทางลอดอุโมงค์ต่างๆ และสะพานอีกมากมาย รวมทั้งน้ำตก ทะเลสาบอันสวยงามของสวิตเซอร์แลนด์ อีกด้วย เส้นทางนี้สร้างระหว่างยุโรปเหนือกับยุโรปใต้ ทำให้ระหว่างทางเราจะได้เห็นวัฒนธรรม บ้านเรือน และธรรมชาติที่สวยงามแตกต่างกันออกไป ด้วยเหตุนี้เส้นทางรถไฟ Bernina Express จึงได้รับการขนานนามว่าเป็นรถไฟสายโรแมนติก และสวยงามที่สุดในยุโรปนั่งเอง



หลายๆ คน คงจะคุ้นเคยและได้ยินชื่อเรือไวกิ้งมาไม่มากก็น้อย ทั้งอาจจะเคยเจอในสวนสนุกและได้ลองนั่งเรืออย่างสนุกสนาน  Happylongway จึงขอแนะนำ พิพิธภัณฑ์เรือไวกิ้ง เพื่อได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์และความหลังของเรือไวกิ้งของจริง ที่มีอายุกว่า 1,000 ปี จากประเทศนอร์เวย์ (ทัวร์สแกนดิเนเวีย)

ไวกิ้ง (อังกฤษ: Vikings) ในความหมายหลักหมายถึงชนเผ่านักรบ นักการค้า และนักตั้งถิ่นฐาน นั่นหมายความว่า เรือไวกิ้งก็มีไว้สำหรับ บุกเบิก ค้าขาย สู้รบ และตั้งรกรากนั่นเอง

พิพิธภัณฑ์เรือไวกิ้ง  ได้จัดแสดงเรือไวกิ้งโบราณไว้ทั้งหมดจำนวน 3 ลำ โดยมีการขุดพบครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1867  ถึงปี ค.ศ.1903 หรือประมาณกว่า 150 ปีมาแล้ว และมีข้อสันนิษฐานว่าเป็นเรือที่แตกต่างยุคกันไป โดยลำแรกมีชื่อว่า “The Oseberg Ship” เรือที่สร้างด้วยไม้โอ๊กและมีขนาดความยาวถึง 22 เมตร มีส่วนกว้างของลำเรือ 5 เมตร สันนิษฐานว่าจะสร้างในปี 820 ขนาดลำเรือใหญ่ขนาดต้องใช้ฝีพายประมาณ 30 คน และถือว่าเป็นเรือที่สมบูรณ์ที่สุด และยังพบสมบัติอันล้ำค่าจากเรือนี้ด้วย รวมถึงศพของหญิงสาวสองศพ เรือ “The Oseberg Ship” ใช้เวลาถึง 21 ปีในการขุดขึ้นมา และบูรณะใหม่ เรือลำที่ 2 “The Gokstad Ship” ซึ่งยาวกว่าลำแรกเพราะวัดความยาวได้ 23 เมตรในขณะที่มีความกว้างเท่ากัน สร้างขึ้นในปี 900 พร้อมกับเรือที่พบเป็นลำที่ 3 “The Tune Ship”

นอกจาก พิพิธภัณฑ์เรือไวกิ้ง จะจัดแสดงเรือไวกิ้งโบราณทั้งสามลำแล้ว ก็ยังจัดแสดง สิ่งของที่ถูกค้นพบจากเรืออีกด้วย อาทิเช่น รองเท้า เครื่องใช้ ถังไม้ต่างๆ เป็นต้น

เวลาทำการ : เปิดทุกวัน
1 พฤษภาคม - 30 กันยายน เปิดทำการเวลา 09.00 - 18.00 น. (ปิดวันที่ 1 มกราคม)
1 ตุลาคม - 30 เมษายน เปิดทำการเวลา 10.00 - 16.00 น.



อุทยานฟรอกเนอร์ (FROGNER SCULPTURE PARK) ตั้งอยู่ที่กรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์ สร้างโดย Gustav Vigeland ระหว่างปี ค.ศ. 1924 - 1943 อุทยานฟรอกเนอร์ มีขนาด 45 เฮคเตอร์ หรือประมาณ 281 ไร่ ซึ่งใหญ่โตมากๆ และยังเป็นสวนประติมากรรมที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย (ทัวร์สแกนดิเนเวีย)

อุทยานฟรอกเนอร์ เป็นสถานที่จัดแสดงผลงานศิลปะประติมากรรม การแกะสลักรูปเหมือนจากหินแกรนิต และการหล่อรูปคนด้วยสำริดและทองแดง ผลงานทั้งหมดเป็นของ ‘กุสตาฟ วิคเกอร์แลนด์ ‘ ปฏิมากรชื่อดัง ซึ่งที่นี่มีปฎิมากรรมมากกว่า 200 ชิ้นให้ได้ชม โดยผลงานชิ้นเอกเป็นเสากลางอุทยานซึ่งมีควมสูงถึง17 เมตร ชื่อ Monolitten รอบเสาแกะสลักเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับวัฎจักรชีวิตมนุษย์ ลักษณะของเสาโมโนลิท เป็นรูปคนจำนวนมากมายปีนป่ายกันอยู่บนเสาใช้เวลาสร้างรวม 22 ปี จากหินแกรนิตเพียงแท่งเดียว และยังมีรูปหล่อสำริด ชื่อ Angry Littleboy อันโด่งดัง



พระราชวังในโลกนี้มีอยู่มากมายหลายแห่ง สำหรับพระราชวังแห่งนี้ นักท่องเที่ยวอย่างเราๆ ก็ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง เป็นพระราชวังเก่าแก่ และยังเป็นมรดกโลกอีกด้วย นั่นคือ พระราชวังเชิร์นบรุนน์ (ทัวร์ยุโรปตะวันออก) 

พระราชวังเชิร์นบรุนน์ (เยอรมัน: Schloss Schönbrunn) ตั้งอยู่ในกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ในอดีตเป็นที่ประทับของจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ฮับส์บูร์ก ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 18 จนถึง พ.ศ. 2461 ออกแบบโดย Johann Bernhard Fischer von Erlach และ Nicolaus Pacassi เป็นสถานที่รวบรวมผลงานทางศิลปะการตกแต่งชั้นเยี่ยมจำนวนมาก ภายในอุทยานเคยเป็นที่ตั้งของสวนสัตว์แห่งแรกของโลกเมื่อ พ.ศ. 2295 ปัจจุบันได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลก และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากในกรุงเวียนนา สาธารณรัฐออสเตรีย

พระราชวังเชินบรุนน์ นั้นมีพื้นที่ประมาณ 300 เอเคอร์ หรือประมาณ 759 ไร่ หรือประมาณ 1,214,400 ตารางเมตร เรียกได้ว่าใหญ่โตมโหฬารเป็นอย่างมาก โดยอยู่ในการครอบครองของราชวงศ์ฮับส์บูร์กนานกว่า 6 ศตวรรษ โดยเเต่เดิมนั้นในสมัยสมเด็จพระจักรพรรดิแม็กซีมีเลียนที่ 2 ใช้เป็นพื้นที่สำหรับการล่าสัตว์ จวบจนในยุคของสมเด็จพระจักรพรรดิเลโอโปลด์ที่ 1 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ก็ทรงให้สร้างพระราชวังเเห่งนี้ขึ้นมา ก่อนที่ในยุคของสมเด็จพระจักรพรรดินีมาเรีย เทเรซา จะต่อเติมเเละใช้เป็นพระราชวังหลักในยุคนั้น โดยเป็นอาคารที่มีสถาปัตยกรรมในสไตล์โรโคโคที่ใหญ่ที่สุดของประเทศออสเตรีย มีความสวยงามเเละลงตัวเป็นอย่างมาก

ภายในของ Schoenbrunn Palace นั้นมีห้องมากหว่า 1,441 ห้องด้วยกัน เเต่จะเปิดเข้าชมเพียงเเค่ 40 ห้องเท่านั้นเอง โดยในห้องห้องมิลเลียนส์นั้นมีการตกแต่งด้วยเครื่องลายครามที่สวยงามอย่างมาก เเละมีการจัดเเสดงข้างของเครื่องใช้ที่มาจากเมืองจีน นอกจากนี้เเล้วก็ยังมีภาพปูนเปียกที่สวยงามเเละวิจิตรเป็นอย่างมาก รวมทั้งมีเครื่องเรือนที่งดงามเป็นอย่างมาก ซึ่งบรรยากาศภายในนั้นจะเเสดงให้เห็นถึงความหรูหราเป็นอย่างมาก เเละในพื้นที่ภายในพระราชวังนั้นจะมีเป็นที่ตั้งของสวนสัตว์ที่มีความเก่าเเก่มากที่สุดในโลกเลยทีเดียวที่ยังเปิดดำเนินการมาจนถึงทุกวันนี้ตั้งเเต่ปี ค.ศ. 1752 นอกจากนี้เเล้วยังมีสวนเขาวงกต ที่สวยงามและน่ามาเดินหลงเล่นๆ ส่วนที่เรือนปลูกปาล์มนั้นก็นับว่าเป็นสถานที่ปลูกปาล์มในร่มที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย



สะพานไม้ชาเปล (เยอรมัน: Kapellbrücke) เป็นสะพานคนเดินข้ามแม่น้ำรอยส์ในนครลูเซิร์น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีอายุกว่า 600 ปี สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1365 เมื่อแรกสร้างมีความยาว 270 เมตร แต่เนื่องจากตลิ่งแม้น้ำที่งอกเพิ่มขึ้นตลอดหลายร้อยปี ทำให้ในปัจจุบันตัวสะพานเหลือความยาว 204.7 เมตร (ทัวร์สวิตเซอร์แลนด์)

สะพานนี้ถือเป็นสะพานไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรป และถือเป็นหนึ่งในสะพานแบบโครงที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังหลงเหลืออยู่ในโลก ตลอดลำสะพานมีจิตรกรรมจำนวนมากที่วาดขึ้นในศตวรรษที่ 17 อย่างไรก็ตาม จิตรกรรมกว่า 2 ใน 3 ได้ถูกทำลายจากเหตุเพลิงไหม้ในปี ค.ศ. 1993 แต่ได้รับการซ่อมแซมใหม่จนอยู่ในสภาพที่ดีเหมือนเดิม ปัจจุบันได้กลายเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญต่อประวัติศาสตร์ของเมืองลูเซิร์นอีกด้วย



อนุสาวรีย์สิงโตสะอื้น (Lion Statue) หรือ สิงโตแห่งลูเซิร์น (อังกฤษ: Lion of Lucerne) หรือที่เรียกว่า เลอเวินเด็งค์มาล (เยอรมัน: Löwendenkmal) เป็นประติมากรรมแกะสลักหินผา ตั้งอยู่ใจกลางนครลูเซิร์น ประเทศสวิสเซอร์แลนด์  อนุสาวรีย์นี้ถือเป็นอนุสาวรีย์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์ และอนุสาวรีย์แห่งนี้ยังได้รับการคุ้มครองเป็นให้เป็นมรดกแห่งชาติสวิตเซอร์แลนด์ (ทัวร์สวิตเซอร์แลนด์)

ทำไมถึงเรียกว่าสิงโตสะอื้น?
สิงโตหินนี้ สร้างเพื่อเป็นการขอบคุณแก่ทหารสวิส 786 นายที่เสียชีวิตจากการปกป้อง พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระนางมารี อองตัวแนตต์ จากการสู้รบกับช่วงการปฎิวัติฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1792 โดยในช่วงนั้นราชสำนักฝรั่งเศสได้ว่าจ้างหน่วยทหารสวิสราว 1,200 นายได้ทำหน้าองค์รักษ์ของราชสำนัก ต่อมาเมื่อมีการปฏิวัติฝรั่งเศสเกิดขึ้น กลุ่มผู้ปฏิวัติที่โกรธแค้นได้บุกและยึดพระราชวังตุยเลอรีในกรุงปารีส แม้สมาชิกของราชวงศ์ได้หลบหนีออกจากวังไปแล้วก่อนที่คณะปฏิวัติจะมาถึง แต่เหล่าทหารสวิสราว 1,000 นายก็ยังคงยืนหยัดทำหน้าที่ของตนในการปกป้องพระราชวัง ทหารสวิสได้อยู่ต่อสู้กับฝูงชนเพื่อปกป้องพระราชวังที่ไร้ผู้คน ในการต่อสู้ครั้งนี้มีทหารมีเสียชีวิตประมาณ 760 นาย นอกจากนี้ ยังมีทหารสวิสอีกส่วนหนึ่งที่เสียชีวิตระหว่างคุ้มกันพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ไปลี้ภัยยังอาคารสมัชชาแห่งชาติ

ลักษณะของสิงโต
สิงโตนั้น ถูกทำร้าย นอนรอความตาย ถูกคมหอกดาบบาดเจ็บสาหัส หมอบร้องไห้โดยมีโล่และหอกสวิสวางอยู่ข้างๆ สื่อให้เห็น ถึงความเศร้าสร้อย เจ็บปวดรวดร้าวเหลือจะทน ดูแล้ว อินกันไปข้าง ผลงานการแกะสลักนี้ เป็นของ Lukas Ahorn ส่วนผู้ออกแบบคืนศิลปินชาวสวีเดนนามว่า Bertel Thorvaldsen

มีการสลักคติพจน์ภาษาละตินไว้เหนือรูปสลักสิงโตว่า

Helvetiorum Fidei ac Virtuti ซึ่งมีความหมายว่า ศรัทธาแลเกียรติคุณของสวิส

ประวัติของการสร้างอนุสาวรีย์สิงโตสะอื้น (Lion Statue) หรือ สิงโตแห่งลูเซิร์น
การสร้างอนุสาวรีย์นี้เป็นความคิดริเริ่มของทหารนายหนึ่งคาร์ล  ไฟเฟอร์ ฟอน อัลติสโฮเฟน   ซึ่งขณะนั้นประจำการที่กรุงปารีสและได้เดินทางมาพักผ่อนในฤดูร้อนที่เมืองลูเซิร์นในปี ค.ศ.1792 ชื่อ เขาต้องการสร้างอนุสาวรีย์ขึ้นเพื่อเป็นการเชิดชูเกียรติและระลึกถึงเพื่อนทหาร  เขาจึงเริ่มเรี่ยไรเงินในปี ค.ศ. 1818 ชาวสวิสทั้งในและนอกประเทศต่างพากันบริจาคเงินสมทบทุนรวมทั้งสมเด็จพระจักรพรรดิของรัสเซีย   พระราชาแห่งปรัสเซีย  สมาชิกราชวงศ์แห่งฝรั่งเศสเช่นเดียวกับ เจ้าชายคริสเตียน  เฟเดอริคแห่งเดนมาร์ก (ต่อมาเป็นพระราชาคริสเตียนที่ 8)

ในส่วนของที่ตั้งอนุสาวรีย์ไฟเฟอร์ได้เสนอให้มีการสร้างอนุสาวรีย์ไว้ที่กำแพงหินนอกเมืองลูเซิร์น  อย่างไรก็ตามได้มีการออกแบบอนุสาวรีย์หลายครั้งแต่ไม่เป็นตามความต้องการ ไฟเฟอร์จึงได้ขอความช่วยเหลือจากเพื่อนของเขา วินเซนต์  รึททิมันซึ่งตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่วินเซนต์พำนักอยู่ที่กรุงโรมและเขาได้ขอให้ช่างสลักชื่อดังชาวเดนมาร์กอย่าง  เบอร์เทล ธอร์วาเซ่นมาออกแบบอนุสาวรีย์ ในปีค.ศ. 1818 เขาได้นำเสนอแบบร่าง   ต่อมาในฤดูใบไม้ผลิปี ค.ศ. 1819 เขาได้จัดแสดงแบบของอนุสาวรีย์ 2 แบบที่ห้องทำงานของเขา แบบแรกมีสิงโตอย่างเดียว และแบบที่สองมีสิงโตอยู่ในถ้ำ

ไฮน์ริช  เคลเลอร์ยืนกรานว่าจะต้องมีการสร้างอนุสาวรีย์ตามแผนเดิมของไฟเฟอร์ และธอร์วาลเซ่นก็เห็นด้วยกับแผนที่ว่านั่นคือควรจะสร้างสิงโตอย่างเดียวโดยไม่มีถ้ำ   อย่างไรก็ตามธอร์วาเซ่นไม่เห็นด้วยกับความคิดของไฟเฟอร์ที่จะให้มีการสร้างรูปสลักสิงโตที่ตายขึ้นเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ที่เศร้าสลดที่เกิดขึ้นที่ปารีส  แต่เขาคิดว่าควรจะสร้างรูปสลักสิงโตที่กำลังจะตายดีกว่า เพื่อแสดงให้เห็นว่า “สิงโตไม่ได้ตาย แต่สิงโตจากไปอย่างสงบ” ในที่สุดได้มีการสร้างอนุสาวรีย์ขึ้นตามแบบของธอร์วาลเซ่นและในตอนแรกภายใต้การควบคุมของช่างสลักที่ชื่อ อัว พานคราซ  เอกเกนชวิลเลอร์ (ซึ่งต่อมาไม่นาน ก็ประสบอุบัติเหตุ)และสุดท้าย ชาวคอนสตานที่ชื่อ  ลูคัส  อาฮอร์นเป็นผู้สร้างเสร็จที่บ่อทรายเก่าเมืองลูเซิร์น   วันที่ 10 สิงหาคม ค.ศ. 1821 ซึ่งครบรอบ 29ปี พอดีหลังจากเหตุการณ์ลุกฮือที่พระราชวังวังทุยเลอเรียน  ได้มีพิธีเปิดอนุสาวรีย์อย่างเป็นทางการ

ขอบคุณข้อมูลจาก https://th.wikipedia.org



ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ หากสถานที่แห่งนี้อยู่ที่เมืองไทยคงมีคนพูดแบบนี้บ่อยๆ หรืออาจจะมีคนไปขอหวย ถูหาเลขอย่างแน่นอน เป็นที่ใดไม่ได้นอกจาก สโตนเฮนจ์  กลุ่มหินลึกลับที่ยังไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่ามาตั้งได้อย่างไร เป็นสิ่งก่อสร้างจากมนุษย์ต่างดาวหรือเปล่า และสร้างขึ้นมาเพื่ออะไร? ยังคงเป็นปริศนามาถึงปัจจุบันนี้ (ทัวร์อังกฤษ)

สโตนเฮนจ์ (อังกฤษ: Stonehenge) เป็นอนุสรณ์สถาน ยุคก่อนประวัติศาสตร์ กลางทุ่งราบกว้างใหญ่บนที่ราบซอลส์บรี (Salisbury Plain) ในบริเวณตอนใต้ของเกาะอังกฤษ ตัวอนุสรณ์สถานประกอบด้วยแท่งหินขนาดยักษ์ 112 ก้อน ตั้งเรียงกันเป็นวงกลมซ้อนกัน 3 วง แท่งหินบางอันตั้งขึ้น บางอันวางนอนลง และบางอันก็ถูกวางซ้อนอยู่ข้น

นักโบราณคดีเชื่อว่ากลุ่มกองหินนี้ถูกสร้างขึ้นจากที่ไหนสักแห่งเมื่อประมาณ 3000–2000 ปีก่อนคริสตกาล กล่าวคือ การหาอายุจากคาร์บอนกัมมันตรังสีเมื่อ พ.ศ. 2551 เผยให้เห็นว่าหินก้อนแรกถูกวางตั้งเมื่อประมาณ 2400–2200 ปีก่อนคริสตกาล ในขณะที่ทฤษฎีอื่น ๆ ระบุว่ากลุ่มหินที่ถูกวางตั้งมาตั้งแต่ก่อนหน้านั้นถึง 3,000 ปีก่อนคริสตกาล หรือประมาณ 5,000 ปีมาแล้วนั่นเอง

นักวิทยาศาสตร์และนักประวัติศาสตร์ต่างสงสัยว่า คนในสมัยก่อนสามารถยกแท่งหินที่มีน้ำหนักกว่า 30 ตัน ขึ้นไปวางเรียงกันได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่ปราศจากเครื่องทุ่นแรงอย่างที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน และบริเวณที่ราบดังกล่าวไม่มีก้อนหินขนาดมหึมานี้ ดังนั้นจึงสันนิษฐานว่าผู้สร้างต้องทำการชักลากแท่งหินยักษ์ทั้งหมดมาจากที่อื่น ซึ่งคาดว่าน่าจะมาจาก "ทุ่งมาร์ลโบโร" ที่อยู่ไกลออกไปประมาณ 40 กิโลเมตร การก่อสร้างสโตนเฮนจ์ใช้เวลาสร้างต่อเนื่องกันมาถึง 3-4 ระยะในช่วงเวลาประมาณ 1,500 ปี คำนวนจากการที่หินแต่ละก้อน แต่ละชั้นมีอายุไม่เท่ากัน มาจากต่างยุคกัน ตั้งแต่ยุคหินตอนปลายจนถึงยุคสำริดตอนต้น

สโตนเฮนจ์และบริเวณโดยรอบได้ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1986 และยังถูกจัดให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลางอีกด้วย



อีกหนึ่งสถานที่ เมื่อคราที่มาทัวร์ดินแดงผู้ดีอังกฤษนั้น ต้องแวะมาถ่ายรูปอยู่บ่อยๆ เพราะชื่อนั้นก็บ่งบอกว่าคือสัญญาลักษณ์ของลอนดอน Tower of London (ทัวร์อังกฤษ)

หอคอยแห่งลอนดอน (อังกฤษ: Tower of London) เป็นพระราชวังหลวงและป้อมปราการตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำเทมส์ในกรุงลอนดอนในอังกฤษ เป็นพระราชวังที่เดิมสร้างโดยพระเจ้าวิลเลียมที่ 1 แห่งอังกฤษ เมื่อปี ค.ศ. 1078 เป็นสถาปัตยกรรมแบบโรมาเนสก์ พระราชวังเป็นรู้จักกันในนามว่า “หอคอยแห่งลอนดอน” หรือ “หอ” ในประวัติศาสตร์ ตัวปราสาทตั้งอยู่ภายในโบโรแห่งทาวเวอร์แฮมเล็ทส์และแยกจากด้านตะวันออกของนครหลวงลอนดอน (City of London) ด้วยลานโล่งที่เรียกว่าเนินหอคอยแห่งลอนดอน หรือ “ทาวเวอร์ฮิล” (Tower Hill)

หอคอยแห่งลอนดอน นั้นสร้างมาตั้งเเต่ปี ค.ศ.1078 โดยกษัตริย์วิลเลียมผู้พิชิตได้สร้างหอคอยที่ชื่อว่า White Tower ขึ้นมาก่อน ก่อนที่จะมีการต่อเติมเรื่อยมาในส่วนต่างๆ จนขยายใหญ่ออกเป็นในปัจจุบัน ที่นี่นับว่าเป็นทั้งศูนย์กลางของการเมืองการปกครองเเละการบัญชาการทางด้านทหารของอังกฤษในยุคกลางที่สำคัญอย่างมาก เเถมยังเป็นที่ขุมขังนักโทษที่มีชื่อเสียงอย่างมากอีกด้วยเช่นเดียวกัน พร้อมๆ กับที่ในปัจจุบันนั้นที่นี่กลายเป็นที่เก็บรักษาสมบัติของชาติที่มีความสำคัญอย่างบรรดามงกุฎต่างๆ ที่เเสนจะตระการตาเเละหาค่าไม่ได้เลยทีเดียว ทั้ง มงกุฎ Imperial State Crown หรืออย่างมงกุฎแพลทตินัมของพระมารดาพระราชินีที่สิ้นพระชนม์ไปแล้ว โดยมงกุฎนี้มีการตกแต่งด้วยเพชรอย่าง Indian Koh-i-Noor ที่มีจำนวนถึง 105 กะรัต ซึ่งมีความสวยงามอย่างมาก

ตำนานชิงอำนาจ Tower of London
เรื่องราว ก็มาจาก การชิงรักหักสวาทกันตั้งแต่ พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ที่มีพระมเหสีถึง 6 พระองค์ (ทรงประกาศพระมเหสีทีละพระองค์) เรื่อยมาหลายราชวงศ์ มีทั้งขุนนางส่งเสริม สมคบกับพระราชินีบ้าง อัศวินบ้าง เพื่อสร้างฐานอำนาจ เมื่อพระองค์หนึ่งได้ครองราชย์ ก็จะสำเร็จโทษอีกฝ่าย หรือจับขังในวังลืม

 

 



Happylongway ขอแนะนำสถานที่ของคนที่อยากเสียว สถานที่ซึ่งการมาทัวร์สแกนดิเนเวีย และทัวร์นอร์เวย์ ควรแวะไปสักครั้งเป็นอย่างยิ่ง เรื่องเสียวที่ว่านี้ หากท่านได้ไปสัมผัสด้วยตัวเอง หรือแม้กระทั่งดูแค่รูปก็จะเสียวหน้าท้องไปตามๆกัน สถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้อยู่ที่ประเทศนอร์เวย์ นั่นคือ Trolltunga นั่นเอง

Trolltunga หน้าผาที่เสียวที่สุดของฟยอร์ดนอร์เวย์ เป็นภาษานอร์เวย์ แปลว่า ลิ้นของโทรลล์ (Troll s Tongue) ตามลักษณะที่เป็นหินแผ่นบางยื่นออกไปจากหน้าผา ที่ความสูง 700 ฟุตเหนือทะเลสาบ Ringedalsvatnet สูงที่ระดับ 1,100 จากระดับน้ำทะเล และเป็นส่วนหนึ่งของ S rfjorden Fjord ในเมือง Odda ทางตะวันตกของประเทศนอร์เวย์ เราจะได้เห็นวิวสวยสดงดงามเป็นที่สุด เป็นฟยอร์ด Fjord ที่มีลักษณะเป็นหุบเขาเว้าแหว่งบริเวณปากอ่าว ระยะทางในการเดินก็ทำให้เราหอบได้มีระยะทางไปกลับถึง 27.5 กิโลเมตร (นักเดินเขาไม่ควรพลาดเลย) ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 12 ชั่วโมง เรียกได้ว่าความเสียวไม่ได้มาง่ายๆเลย แต่ลองคิดนะครับ ถ้าเป็นเราไปยืนตรงจุดที่ยื่นออกไปนั้น แล้วถ่ายรูปจะฟินขนาดไหน (ถ้าเมืองไทยก็น่าจะเทียบกับภูกระดึงที่ผาหล่มสัก แต่ก็คนละเรื่องเลย)

 Trolltunga ไม่ได้เปิดให้เข้าชมทั้งปี แต่จำกัดช่วงเวลาให้เข้าชมเป็นฤดูกาล ไปได้เฉพาะช่วง กลางเดือนมิถุนายน จนถึง กลางเดือนกันยายน เพียง 3 เดือนเท่านั้น บอกแล้วความเสียวไม่ได้มาง่ายๆ และมีขีดจำกัด 555 จริงๆช่วงหน้าหนาวก็สามารถทัวร์หิมะได้ แต่มันหนาวและค่อนข้างอันตรายเป็นอย่างมาก

**หากต้องการค้างคืนในพื้นที่ภูเขารอบๆ Trolltunga ก็สามารถทำได้ แต่ต้องนำเต็นท์มาเอง**

ช่วงเวลาที่น่าไปเยือน และไม่ควรไปเสียวที่  Trolltunga

- 15 มิถุนายน - 15 กันยายน  เป็นช่วงที่ดี และเป็นช่วงที่แนะนำ
- 16 กันยายน - 28 ตุลาคม เป็นอีกช่วงที่สวยงาม แต่ควรมีไกด์นำทางไปด้วย
- 29 ตุลาคม - 16 กุมภาพันธ์ เดือนต้องห้าม ไม่แนะนำอันตรายมาก
- 17 กุมภาพันธ์ -14 มิถุนายน เป็นอีกช่วงที่แนะนำ และควรไปพร้อมไกด์นำเที่ยว (snowshoes)



เมื่อคราวใดที่มาเยือนอิตาลีแล้ว คงพลาดไม่ได้กับการมาเยี่ยมชม หอเอน แห่งเมืองปิซ่า เพื่อตามรอยอย่างภาพยนตร์ "หนีตามกาลิเลโอ" รวมถึงตามทฤษฏีกฏแห่งแรงโน้มถ่วงของโลก (ทัวร์อิตาลี)

หอเอนเมืองปิซา (อิตาลี: Torre pendente di Pisa หรือ La Torre di Pisa; อังกฤษ: Leaning Tower of Pisa) ตั้งอยู่ที่เมืองปิซา ในจัตุรัสเปียซซา เดล ดูโอโม (Piazza Del Duomo) หอระฆังของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก เป็นหอทรงกระบอก 8 ชั้น สร้างด้วยหินอ่อนสีขาว สูง 183.3 ฟุต (55.86 เมตร) น้ำหนักรวม 14,500 ตันโดยประมาณ มีบันได 293 ขั้น เอียง 3.97 องศา ยอดของหอห่างจากแนวตั้งฉาก 3.9 เมตร

หอเอนเมืองปิซา เริ่มสร้างเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ.1173 สร้างเสร็จเมื่อปี 1350 ใช้เวลาสร้างประมาณ 175 ปี แต่การก่อสร้างหยุดชะงักเมื่อสร้างไปได้ถึงชั้น 3 เนื่องจากพื้นใต้ดินเป็นพื้นดินที่นิ่ม ทำให้ยุบตัว ต่อมาในปี ค.ศ.1272 โดย จีโอแวนนี่ ดี สิโมน สร้างให้เอนกลับไปอีกด้านหนึ่งเพื่อให้สมดุล แต่การก่อสร้างในครั้งนี้ ก็ต้องหยุดชะงักลงอีกครั้งเนื่องจากเกิดสงคราม ต่อมาก็มีการสร้างหอต่อขึ้นอีกและสร้างเสร็จ 7 ชั้น ในปี ค.ศ.1319 แต่หอระฆังถูกสร้างเสร็จในปี ค.ศ.1372 โดยใช้เวลาสร้างทั้งหมด 177 ปี หลังจากนั้น ในปี ค.ศ. 1990-2001 หอเอนปีซาได้รับการปรับปรุงฐานให้แข็งแรงยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้หอล้มลงมา

กาลิเลโอ กาลิเลอิ เคยใช้หอนี้ทดลองเกี่ยวกับเรื่อง แรงโน้มถ่วง ในตอนที่เขาเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยปิซา โดยใช้ลูกบอล 2 ลูกที่น้ำหนักไม่เท่ากันทิ้งลงมา เพื่อพิสูจน์ว่า ลูกบอล 2 ลูกจะตกถึงพื้นพร้อมกัน ซึ่งก็เป็นไปตามที่กาลิเลโอคาดไว้

ในปี ค.ศ.1934 เบนิโต มุสโสลินี พยายามจะทำให้หอกลับมาตั้งฉากดังเดิม โดยเทคอนกรีตลงไปที่ฐาน แต่กลับทำให้หอยิ่งเอียงมากขึ้นไปอีก กองทัพสหรัฐฯ ตัดสินใจไม่ยิงปืนใหญ่ใส่หอเอนเมืองปิซา

วันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1964 รัฐบาลอิตาลี พยายามหยุดการเอียงของหอเอนเมืองปิซา โดยผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ เช่น วิศวกร นักคณิตศาสตร์ และนักประวัติศาสตร์ โดยใช้เหล็กรวมกว่า 800 ตัน ค้ำไว้ไม่ให้หอล้มลงมา

ในวันที่ 7 มกราคม ค.ศ.1990 หอเอนเมืองปิซาถูกปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าชม เพื่อความปลอดภัย อีกทั้งยังขุดดินของอีกด้านหนึ่งออก เพื่อให้สมดุลยิ่งขึ้น และในวันที่ 15 ธันวาคม 2001 หอเอนเมืองปิซาถูกเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมอีกครั้ง และถูกประกาศว่าสมดุลแล้วใน 300 ปีต่อมาหลังจากเริ่มทำการปรับปรุง

ค.ศ.1987 หอเอนเมืองปิซาถูกประกาศให้เป็นมรดกโลก โดยเป็นส่วนหนึ่งของ Piazza Dei Miracoli หอเอนเมืองปิซายังเป็น 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลางอีกด้วย



7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ นั้นก็คงเป็นอีก 7 ปลายทางในฝันของนักเดินทางหลายๆ คนที่ต้องการจะไปเยี่ยมชม ท่องเที่ยว และหวังว่าจะไปให้ได้สักครั้งในชีวิต โดย 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่นั้นได้มีการประกาศไว้ ณ วันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 ณ กรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกส โดยองค์กร The New Open World Corporation (NOWC) ของประเทศสวิสเซอร์แลนด์ และพอเป็นยุคใหม่ก็ได้ทำแบบใหม่ๆ คือมีการโหวต ทางอินเตอร์เน็ท และทางข้อความทางโทรศัพท์มือถืออีกด้วย

การโหวต 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่นี้ เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2542 โดยให้คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญซึ่งนำโดยนายเฟรเดริโก มายอร์ อดีตผู้อำนวยการองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมของสหประชาชาติ(ยูเนสโก)คัดเลือกสิ่งก่อสร้างต่างๆ ทั่วโลกจากเกือบ 200 แห่ง คัดเหลือเพียง 21แห่ง ให้ประชาชนทั่วโลกเข้าไปโหวตเลือก 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ตั้งแต่เดือนมกราคม 2548 ผู้เข้าไปโหวตสามารถทำทางอินเตอร์เน็ตและส่งข้อความทางโทรศัพท์มือถือ รวมแล้วมีประมาณเกือบ 100 ล้านคน พูดง่ายๆว่าประเทศใดประชากรมากกว่าก็ค่อนข้างได้เปรียบเรื่องการโหวตอยู่เหมือนกัน

อย่างไรก็ตามองค์การยูเนสโก ได้ออกแถลงการณ์ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2550 แล้วว่าไม่สนับสนุนและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการโหวต 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่แต่อย่างใดทั้งสิ้น

1. ชีเชน อิตซา  Chichen Itza : เม็กซิโก

ชีเชนอิตซา (อังกฤษ: Chichen Itza; สเปน: Chichén Itzá) เป็นแหล่งโบราณคดีขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นโดยชาวมายาในเขตวัฒนธรรมเมโสอเมริกัน ตั้งอยู่ในคาบสมุทรยูกาตัง รัฐยูกาตัง ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศเม็กซิโก ชีเชนอิตซาเป็นส่วนหนึ่งของเมืองจำนวนมากมายซึ่งพวกมายาได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ของเทพเจ้าผู้ทรงกระหายพระโลหิต

ลักษณะโดยทั่วไปของชีเชนอิตซา ทำเป็นรูปเหลี่ยมลดขั้นเป็นชั้น ๆ บนเนื้อที่ราว 6.4 ตารางกิโลเมตร มีบันไดกลาง วิหารที่ใหญ่สุดมีชื่อว่า วิหารแห่งนักรบ สร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 12 หลังจากสร้างวิหารเก่าแห่งชักโมล ตรงกลางสร้างเป็นปราสาทเหลี่ยมทึบสูงขึ้นไป ใช้เป็นที่ทำพิธีสังเวยเทพเจ้าโดยใช้เด็กสาวโยนลงไปถวายเทพเจ้า ณ ที่นั้น รอบ ๆ ห่างออกมาทำเป็นบริเวณตลาดทำนองเดียวกับสถานสถิตยุติธรรมของพวกโรมัน ซึ่งอยู่กลางเมืองที่สาธารณะและเป็นที่รวมของฝูงชน

2. คริชตู เรเดงโตร์ Cristo Redentor หรือ Christ the Redeemer : บราซิล

กริชตูเรเดงโตร์ (โปรตุเกส: O Cristo Redentor; อังกฤษ: Christ the Redeemer พระคริสต์ผู้ไถ่) เป็นอลังการประติมากรรมพระเยซูตั้งอยู่บนยอดเขากอร์โกวาดู ประเทศบราซิล สูงราว 38 เมตร โดยปอล ลันดอฟสกี ประติมากรชาวฝรั่งเศสเชื้อสายโปแลนด์เป็นผู้ออกแบบ และเอโตร์ ดา ซิลวา กอชตา วิศวกรชาวบราซิลดำเนินการสร้าง ใช้เวลาในการสร้าง 5 ปี โดยทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2474

ประติมากรรมนี้ถือเป็นอนุสาวรีย์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ทั้งยังเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ และได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของกรุงรีโอเดจาเนโร และเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจของชาวบราซิล มีนักท่องเที่ยวเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้ราว 1,800,000 รายต่อปี

3. กำแพงเมืองจีน Great Wall of China : จีน

กำแพงเมืองจีน (จีนตัวย่อ: 长城; จีนตัวเต็ม: 長城; พินอิน: Chángchéng "ฉางเฉิง", อังกฤษ: Great Wall of China) เป็นกำแพงที่มีป้อมคั่นเป็นช่วง ๆ ของจีนสมัยโบราณ กำแพงส่วนใหญ่ที่ปรากฏในปัจจุบันสร้างขึ้นในสมัย ราชวงศ์ฉิน ทั้งนี้เพื่อป้องกันการรุกรานจาก ชาวฮัน หรือ ซฺยงหนู คำว่า ซฺยงหนู บางทีก็สะกดว่า ซุงหนู หรือ ซวงหนู ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับอารยธรรมจีนในยุคต้นๆ ตั้งแต่สมัยราชวงศ์โจว (ราว 400 ปีก่อนคริสตกาล) เนื่องจากจะเข้ามารุกรานจีนตามแนวชายแดนทางเหนือ ในสมัยราชวงค์ฉิน ได้สั่งให้สร้างกำแพงหมื่นลี้ตามชายแดน เพื่อป้องกันพวกซยงหนูเข้ามารุกรานและพวกเติร์กจากทางเหนือ หลังจากนั้นยังมีการสร้างกำแพงต่ออีกหลายครั้งด้วยกัน แต่ภายหลังก็มีเผ่าเร่ร่อนจากมองโกเลียและแมนจูเรียสามารถบุกฝ่ากำแพงเมืองจีนได้สำเร็จ

กำแพงเมืองจีนยังคงเรียกว่า "กำแพงหมื่นลี้" (จีนตัวย่อ: 万里长城; จีนตัวเต็ม: 萬里長城; พินอิน: Wànlĭ Chángchéng "ว่านหลี่ฉางเฉิง") สำนักงานมรดกวัฒนธรรมแห่งชาติจีน ประกาศเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2555 ว่านักโบราณคดีได้ตรวจวัดความยาวของสิ่งก่อสร้างจากน้ำมือมนุษย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกหรือ "กำแพงเมืองจีน" อย่างเป็นทางการนานร่วม 5 ปี ตั้งแต่ 2008-2012 และพบว่ายาวกว่าที่บันทึกไว้เดิมกว่า 2 เท่า หรือ 21,196.18 กิโลเมตร จากเดิม 8,850 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 15 มณฑลทั่วประเทศ และนับเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ยุคกลาง ด้วย มีความเชื่อกันว่า หากมองเมืองจีนจากอวกาศจะสามารถเห็นกำแพงเมืองจีนได้ ซึ่งในความเป็นจริงไม่สามารถมองเห็นจากอวกาศได้

4. มาชูปิกชู Machu Picchu : เปรู

มาชูปิกชู (เกชัว: Machu Picchu) หรือนิยมเรียกอีกชื่อว่า เมืองสาบสูญแห่งอินคา เป็นซากอารยธรรมโบราณของชาวอินคา ตั้งอยู่บนเทือกเขาสูงในประเทศเปรู ที่ความสูงประมาณ 2,350 เมตรอารยธรรมแห่งนี้ได้ถูกลืมโดยคนภายนอกจนกระทั่งมีการค้นพบอีกครั้งโดยนักโบราณคดีที่ชื่อ ไฮแรม บิงแฮม เมื่อ พ.ศ. 2454 มาชูปิกชูเป็นหลักฐานที่สำคัญของจักรวรรดิอินคา ในปี พ.ศ. 2526 องค์กรยูเนสโกได้กำหนดมาชูปิกชูให้เป็นมรดกโลก โดยทำให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่คนนิยมไปศึกษาประวัติศาสตร์

5. นครเปตรา Petra : จอร์แดน

เปตรา (จากภาษากรีก πέτρα แปลว่าหิน ภาษาอารบิก البتراء) คือนครหินแกะสลักโบราณที่ซ่อนตัวอย่างลึกลับในหุบเขาวาดี มูซา หุบเขาที่ตั้งอยู่ระหว่างทะเลเดดซีกับอ่าวอะกาบาในประเทศจอร์แดน นครนี้แต่เดิมนั้นเป็นนครแห่งการค้าขนาดใหญ่ซึ่งต่อมาถูกละทิ้งเป็นเวลานานกว่า 700 ปี จนเมื่อมีนักสำรวจชาวสวิตเซอร์แลนด์ โยฮันน์ ลุควิก บวร์กฮาร์ท เดินทางผ่านมาพบเห็นเข้าเมื่อปี พ.ศ. 2355 (ค.ศ. 1812)

นครเปตราได้รับลงทะเบียนจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ. 2528 โดยกล่าวอธิบายไว้ว่า "เป็นหนึ่งในสิ่งที่ล้ำค่ามากที่สุดของมรดกทางวัฒนธรรมแห่งมวลมนุษยชาติ" (one of the most precious cultural properties of man's cultural heritage) ปัจจุบันสามารถเดินทางเข้าไปโดยอาศัยม้าเท่านั้น

6. โคลอสเซียม Colosseum : อิตาลี

โคลอสเซียม (อังกฤษ: Colosseum), โคลิเซียม (อังกฤษ: Coliseum) หรือทวิอัฒจันทร์ฟลาเวียน (อังกฤษ: Flavian Amphitheatre; ละติน: Amphitheatrum Flavium; อิตาลี: Anfiteatro Flavio หรือ Colosseo) เป็นสนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม เริ่มสร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิเวสเปเซียนแห่งจักรวรรดิโรมัน และสร้างเสร็จในสมัยของจักรพรรดิไททัส ในคริสต์ศตวรรษที่ 1 อัฒจันทร์เป็นรูปวงกลมก่อด้วยอิฐและหินทรายวัดโดยรอบได้ประมาณ 527 เมตร สูง 57 เมตร สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 50,000 คน มีการออกแบบอย่างชาญฉลาดโดยสร้างให้สนามกีฬามีลักษณะเป็นรูปวงรี เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกเข้าใกล้นักกีฬา และมีการออกแบบทางระบายน้ำเพื่อไม่ให้น้ำท่วมขังในสนามขณะเกิดฝนตก ถือเป็นต้นแบบของสนามกีฬาต่างๆในปัจจุบัน ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 10 ปี

7. ทัชมาฮาล Taj Mahal : อินเดีย

ทัชมาฮาล สุสานหินอ่อนที่ผู้คนเชื่อว่าเป็นสถาปัตยกรรมแห่งความรักที่สวยที่สุดในโลก สร้างขึ้นโดยสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโมกุลผู้มีรักมั่นคงต่อพระมเหสีของพระองค์ เจ้าชายขุร์รัม ชึ่งต่อมาคือสมเด็จพระจักรพรรดิชาห์ชะฮัน พระราชสมภพในปี พ.ศ. 2135 (ค.ศ. 1592) พระบิดา คือ สมเด็จพระจักรพรรดิชะฮันคีร์ จักรพรรดิองค์ที่สี่แห่งราชวงศ์โมกุล ตามตำนานกล่าวว่า พระองค์ได้พบกับอรชุมันท์ พานุ เพคุม ธิดาของรัฐมนตรี เมื่อพระองค์มีพระชนมายุ 14 พรรษา พระองค์ทรงหลงใหลและหลงรักนาง เจ้าชายขุร์รัมจึงซื้อเพชรด้วยเงิน 10,000 รูปีและบอกแก่พระบิดาของพระองค์ว่าพระองค์มีความประสงค์ที่จะแต่งงานกับบุตรีของรัฐมนตรี พิธีเสกสมรสถูกจัดขึ้นหลังจากนั้น 5 ปี เมื่อพ.ศ. 2155 (ค.ศ. 1612) จากนั้นมาทั้งสองก็มิเคยอยู่ห่างกันอีกเลย



Happylongway ขอแนะนำอีกสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่ง ในการทัวร์อิตาลี สถานที่ท่องเที่ยวที่มีอายุมากกว่า 2,000 ปี และเป็นแรงบันดาลใจให้กับภาพยนต์ชื่อดังมากมายในการสร้าง อาทิเช่น เกลดิเอเตอร์ (Gladiator ปี 2000) ที่มีฉากต่อสู้ ในสนามประลอง จะเป็นที่ใดไม่ได้นั่นคือ โคลอสเซียม นั่นเอง วันนี้เรามาทำความรู้จักกันในเชิงลึกดีกว่า

โคลอสเซียม (อังกฤษ: Colosseum), โคลิเซียม (อังกฤษ: Coliseum) หรือทวิอัฒจันทร์ฟลาเวียน (อังกฤษ: Flavian Amphitheatre; ละติน: Amphitheatrum Flavium; อิตาลี: Anfiteatro Flavio หรือ Colosseo) เป็นสนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม เริ่มสร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิเวสเปเซียนแห่งจักรวรรดิโรมัน และสร้างเสร็จในสมัยของจักรพรรดิไททัส ในคริสต์ศตวรรษที่ 1 อัฒจันทร์เป็นรูปวงกลมก่อด้วยอิฐและหินทรายวัดโดยรอบได้ประมาณ 527 เมตร สูง 57 เมตร สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 50,000 คน มีการออกแบบอย่างชาญฉลาดโดยสร้างให้สนามกีฬามีลักษณะเป็นรูปวงรี เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกเข้าใกล้นักกีฬา และมีการออกแบบทางระบายน้ำเพื่อไม่ให้น้ำท่วมขังในสนามขณะเกิดฝนตก ถือเป็นต้นแบบของสนามกีฬาต่างๆในปัจจุบัน ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 10 ปี

ประวัติของโคลอสเซียม
โคลอสเซียม (Colosseum) นั้นสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจของเวสปาเรียน จักรพรรดิโรม พระองค์เริ่มครองราชย์ในปี ค.ศ. 69 และด้วยความต้องการที่จะหล่อหลอมราชวงศ์ขึ้นใหม่สำหรับตระกูลของพระองค์ จึงริเริ่มการก่อสร้าง Mega Projectขึ้น และโคลอสเซียมก็เป็นส่วนหนึ่งในนั้น

และนี่ทำให้โคลอสเซียมเป็นสนามกีฬาของโรมที่ใหญ่ที่สุดและแพงที่สุดเท่าที่มีการสร้างขึ้น ด้วยทรัพย์สินตั้งแต่โต๊ะไปจนถึงเชิงเทียนทองคำแท้ที่โรมปล้นมาจากการยึดพระวิหารที่เยรูซาเลม มันจุผู้คนได้ราว 50,000 คน และสร้างเสร็จในปี ค.ศ. 80 เพื่อใช้แทนสนามกีฬาไม้ซึ่งถูกเผาไปในรัชสมัยของ จักรพรรดิเนโรด้วย

โคลอสเซียม เปิดใช้งานครั้งแรกในปี ค.ศ. 80 สมัยจักรพรรดิติตุส ซึ่งในปีดังกล่าวสนามยังไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์ เพื่อเปิดสนามแข่งขันกีฬาต่างๆ ทั้งเกลดิเอเตอร์สู้กันเอง โดยมีชีวิตเป็นเดิมพัน หรือสู้กับสัตว์ป่า อาทิ สิงโต เสือ และช้าง เป็นต้น โดยมีชีวิตเป็นเดิมพันเช่นกัน และบางทีอาจจะมีแสดงการต่อสู้ระหว่างสัตว์ป่าด้วยกันเอง เช่น เสือสู้กับสิงโต กระทิงสู้กับหมี ฯลฯ เรียกว่าสมัยนั้นมีอะไรที่ต่อสู้กันได้ ไม่พ้นถูกจับให้มาประลองยังที่ โคลอสเซียม อย่างแน่นอน

แต่อย่างไรก็ตามเกมต่อสู้ระหว่าง เกลดิเอเตอร์ ยังคงเป็นกีฬายอดฮิตที่สุดของผู้ชมชาวโรมันในสมัยนั้น จากหลักฐานบ่งบอกได้ว่า การต่อสู้ประเภทนี้มีมาก่อนการสร้างโคลอสเซียมเสียอีก แต่ในสมัยต่อมาจึงการพัฒนากฏ กติกา ต่างๆ แปลกใหม่ขึ้นมา เพื่อเพิ่มความเร้าใจให้กับคนดูนั่นเอง

การบูรณะโคลอสเซียม
จากภัยธรรมชาติแผ่นดินไหวหลายครั้ง และภาวะสงคราม งานบูรณะซ่อมแซมจึงเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 217 แต่ก็ถูกทอดทิ้งในเวลาต่อมา หลังจากเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ของอิตาลี ต่อมา โป๊ปเกรกอเรียส แมกนุส องค์ประมุขคริสตจักรคาทอลิก ในช่วงปี ค.ศ. 590-604 ได้ทำการบูรณะ และเปลี่ยน โลอสเซียม ให้เป็นโบสถ์ สนามประลองยุทธ์อันเลื่องชื่อ จึงกลายเป็นโบสถ์ตั้งแต่นั้นมา จนถึงยุคนโปเลียนขึ้นครองราชย์ ระหว่างปี 1809-1815 โคลอสเซียม ได้รับการบูรณะซ่อมแซมมาอย่างต่อเนื่อง ตลอดอายุกว่า 1,900 ปี

ล่าสุดเมื่อปี ค.ศ. 1992 ธนาคารเอกชนแห่งหนึ่ง ได้ให้งบประมาณบูรณะ โคลอสเซียม ครั้งใหญ่ แล้วเสร็จสมบูรณ์เมื่อปี 2003



คงเป็นความฝันของนักท่องเที่ยวหลายๆคน ที่จะได้ไปถ่ายรูปกับหอไอเฟล หอที่เป็นสัญญาลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศส หอที่ทุกครั้งที่ไปทัวร์ฝรั่งเศส หากไม่ได้ไปเก็บภาพ หรือยลโฉมแล้วคงไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่าเคยไปฝรั่งเศสแล้ว Happylongway จึงขอนำประวัติของหอไอเฟลที่ยิ่งใหญ่ มาเป็นข้อมูลให้ได้อ่านกัน (==>ทัวร์ฝรั่งเศส<==)

หอไอเฟล (ฝรั่งเศส: Tour Eiffel, ตูร์แอแฟล) เป็นหอคอยโครงสร้างเหล็กตั้งอยู่บนช็องเดอมาร์ บริเวณแม่น้ำแซน ในกรุงปารีส เป็นสัญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศสที่เป็นที่รู้จักกันทั่วโลก ทั้งยังเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกอีกด้วย

ชื่อของหอไอเฟล มีที่มาอย่างไร?
หอไอเฟลเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่โด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ตั้งชื่อตามกุสตาฟ ไอเฟล สถาปนิกและวิศวกรชั้นนำของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้ออกแบบหอคอยนี้ หอไอเฟลสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์ของงานแสดงสินค้าโลก ในปี ค.ศ. 1889 (Exposition universelle de Paris de 1889) เพื่อแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของประเทศฝรั่งเศส ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และความสวยทางศิลปะสถาปัตยกรรม หอคอยสูงงดงามแห่งนี้เป็นดาวเด่นที่สร้างความประทับใจแก่ผู้ร่วมงาน ซึ่งต่อมาได้รู้จักในนามหอไอเฟลและกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของกรุงปารีส และใน ค.ศ. 2006 นักท่องเที่ยวกว่า 6,719,200 คนได้เข้าเยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้ และกว่า 200,000,000 คนตั้งแต่เริ่มก่อสร้าง ส่งผลให้หอไอเฟลเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีคนเข้าชมมากที่สุดต่อปีอีกด้วย

หอไอเฟลสูงเท่าไร? และขนาดเท่าไหร่?
หอไอเฟล
สูง 324 เมตร (1,063 ฟุต) หรือสูงเท่ากับตึก 81 ชั้น

บนพื้นที่สี่เหลี่ยมจตุรัสของฐานหอคอยมีความกว้างด้านละ 426 ฟุต จะมีขาของหอคอยทั้ง 4 ในแต่ละด้าน รองรับน้ำหนักของโครงสร้างโลหะกว่า 7,000 ตัน บนฐานจะเป็นฐานก่ออิฐซึ่งจะฝังสมอยึด 2 ตัวสำหรับขาแต่ละข้าง จากฐานนี้ ขาจะถูกขึ้นเป็นมุม 60 องศาในลักษณะคานโครงเหล็ก คานนี้ประกอบไปด้วยท่อนเหล็กและเหล็กแผ่นที่ถูกยึดติดกันที่ด้านข้าง โครงสร้างที่ได้จะมีความเข็งแรงมาก แต่มีนำหนักเบา ประกอบง่าย ใช้มาตรฐานเดียวกัน และ มีราคาไม่แพง เมื่อประกอบเสร็จจะใช้ชิ้นส่วนโลหะทั้งหมด 18,000 ชิ้น และหมุดยึดอีก 2 ล้าน 5 แสน ตัว เพื่อประกอบเป็นหอคอย ทั้งหมดใช้เพียงเหล็กท่อนแบนและแผ่นเหล็กในการประกอบ

ขั้นตอนแรกของการก่อสร้าง ขาทั้ง 4 ต้นจะถูกสร้างขึ้นพร้อมๆกันและจะบรรจบกันที่ชั้นแรกของหอคอย ด้วยมุมที่มีความลาดชั้น จึงต้องติดตั้งคำยันที่ขาทั้ง 4 ต้น และติดตั้งคำยันตรงกลางของฐานหอคอยเพื่อรองรับคานในแนวศูนย์กลางที่จะยึดโครงสร้างต่างๆ เอาไว้ ที่ขาแต่ละข้างมีแม่แรงไฮโดรลิกที่สามารถปรับระดับความสูงได้อย่าง -อิสระ และ เพื่อให้ได้ความแม่นยำตามที่ต้องการ เมื่อขั้นตอนเหล่านี้เสร็จสิ้น กุสตาฟ ไอเฟล รู้ว่าไม่มีอะไรหยุดยั้งการบรรลุความฝันของเขาได้ หลายคนก็กลัวว่าหอคอยจะทำ-ลายทัศนียภาพของกรุงปารีส กลุ่มศิลปินหลายคนกล่าวโจมตีว่าเป็นการเอาเปรียบของยุคอุตสาหกรรม และเป็นโคมไฟที่น่าสมเพศที่ผลุดขึ้นมาจากปารีส กุสตาฟ ไอเฟล ได้โต้ตอบกลับอย่างรุนแรงว่า นี่คือสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดที่มนุษย์เคยสร้าง มันต้องมีความสวยงามในตัวของมันเอง

ประวัติของหอไอเฟล
ช่วงปลายศตวรรษที่ 19 กรุงปารีสได้เป็นเจ้าภาพจัดงานแสดงสินค้าโลกในปี ค.ศ. 1889 เพื่อฉลองการครบรอบ 100 ปีการปฏิวัติฝรั่งเศส ทางรัฐบาลฝรั่งเศสจึงได้จัดการประกวดออกแบบสิ่งก่อสร้างเพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์ของงาน มีการส่งแบบเข้าประกวดถึง 100 บริษัท โดยบริษัทที่ได้รับเลือกจากทางกรรมการของปารีสคือแบบของบริษัทของนายกุสตาฟ ไอเฟล และได้ทำสัญญากับรัฐบาลในวันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 1887 โดยทางรัฐบาลฝรั่งเศสกำหนดที่ก่อสร้างไว้ริมแม่น้ำแซน ปลายสวนสาธารณะช็องเดอมาร์ โดยนายกุสตาฟ ไอเฟลได้สัมปทานหอ 20 ปี โดยนับจากวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1890 จนถึงปี ค.ศ. 1910 ต่อจากนั้นจะเป็นกรรมสิทธิ์ของกรุงปารีส

หอไอเฟลเริ่มสร้างในวันที่ 26 มกราคม ค.ศ. 1887 โดยเริ่มจากการทำฐานของหอลึกลงไปถึงชั้นดินแข็ง เนื่องจากดินริมฝั่งแม่น้ำแซนมีความอ่อนมากแล้วจึงเริ่มทำตัวหอต่อจากนั้น การก่อสร้างใช้คนงาน 300 คน มีคนงานเสียชีวิต 1 คน โดยใช้เวลาในการก่อสร้างทั้งหมด 2ปี 2เดือน 5วัน และมีพิธีเปิดหอไอเฟลอย่างเป็นทางการในวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 1889 โดยในวันนั้น นายกุสตาฟ ไอเฟลได้นำธงฝรั่งเศสไปติดไว้บนยอดหอไอเฟล

เมื่อหอไอเฟลสร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2432 (ค.ศ. 1889) หอไอเฟลกลายเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในโลกแทนที่อนุสาวรีย์วอชิงตัน และได้ครองตำแหน่งนี้มาจนกระทั่งปี พ.ศ. 2473 (ค.ศ. 1930) ก็ได้เสียตำแหน่งให้แก่ตึกไครส์เลอร์ (319 เมตร หรือ 1,047 ฟุต) ที่เพิ่งสร้างเสร็จ

หอไอเฟลมีความสูง 300 เมตร (986 ฟุต) ซึ่งไม่รวม เสาอากาศ 24 เมตร (72 ฟุต) ด้านบน ถ้าเปรียบเทียบกับตึกแล้วจะมีประมาณ 75 ชั้น หอไอเฟลเป็นสิ่งปลูกสร้างที่สูงสุดในกรุงปารีส และหากไม่นับรวมเสากระจายคลื่น หอไอเฟลเป็นสิ่งปลูกสร้างสูงที่สุดอันดับสองในฝรั่งเศส รองจากสะพานมีโย

น้ำหนักเหล็กที่ใช้ก่อสร้างนั้นทั้งหมด 7,300-10,000 ตัน ส่วนจำนวนบันไดนั้นเปลี่ยนแปลงตลอด เมื่อแรกเริ่มนั้นมี 1710 ขั้น ในทศวรรษที่ 1980 มี 1920 ขั้น และในปัจจุบัน มี 1665 ชั้น

โดยแรกเริ่มนั้นหอไอเฟลถูกค่อนแคะจากชาวปารีสในเชิงไม่เห็นด้วยกับการก่อสร้าง ด้วยถูกมองว่าไม่สวยงาม จนถูกเรียกขานไปต่าง ๆ ในเชิงติดลบ และถึงขนาดเคยมีความคิดที่จะรื้อโครงสร้างออกด้วยเมื่อปี ค.ศ. 1909



โลซาน (อังกฤษ: Lausanne) ห่างจากเจนีวาไปทางตะวันตกเฉียงเหนือราว 60 กิโลเมตร มีประชากรประมาณ 140,000 คน โดยติดกับเมืองเอวีย็อง-เล-แบ็งของประเทศฝรั่งเศส ในอดีตเมืองโลซานเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรโรมัน เพราะพื้นที่ของเมืองอยู่ติดกับทะเลสาบเจนีวา ทำให้เชื่อมต่อกับอาณาจักรโรมันเมืองอื่นๆได้สะดวก ในอดีตเขตชุมชนตั้งอยู่ริมทะเลสาบ ด้วยชัยภูมิของเมืองดี จึงเป็นที่หมายปองของมหาอำนาจ ชาวบ้านจึงย้ายไปตั้งชุมชนบนเนินเขาเหนือทะเลสาบ ทำให้สถานที่ท่องเที่ยวในปัจจุบันแบ่งออกเป็น 2 ส่วนได้แก่ เขตเมืองเก่า (เนินเขาเหนือทะเลสาบ) และเขตริมทะเลสาบ

คนไทยรู้จักเมืองโลซานในฐานะที่ในหลวงรัชกาลที่ 8 รัชกาลที่ 9 สมเด็จพระพี่นางฯ ทรงศึกษาและทรงเจริญพระชนณ์ ณ เมืองนี้ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ และยังมีขนมยี่ห้อนึง ที่เรารู้อาจจะเคยเห็นกันมาบ้างที่มีจำหน่ายมานานนั่นคือ "ขนมโลซาน"

แหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจในโลซาน สวิตเซอร์แลนด์



มหาวิหารโลซาน (Cathédrale de Lausanne) หรือชื่อเต็มคือ อาสนวิหารน็อทร์-ดามแห่งโลซาน (ฝรั่งเศส: Cathédrale Notre-Dame de Lausanne) เป็นโบสถ์คริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ระดับอาสนวิหารประจำเมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ อาสนวิหารแห่งนี้เริ่มขึ้นในศตวรรษที่ 12 ในปี ค.ศ. 1170 และแล้วเสร็จในปี 1235 ต่อมาอาสนวิหารแห่งนี้ถูกประกาศอุทิศให้แก่พระแม่มารีย์โดยคำประกาศของสมเด็จพระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 10ในปี 1275 และยังมีอีกชื่อหนึ่งว่า มหาวิหารนอเตรอดาม (Notre-Dame)

มหาวิหารโลซานเป็นวิหารที่ใหญ่ที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์ในขณะนั้น สร้างด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์โกธิก บริเวณซุ้มทางเข้ามีการแกะสลักอย่างสวยงาม ส่วนด้านในมีกระจกสีที่สามารถขึ้นบันได 160 ขั้นขึ้นไปยังยอดของวิหารได้

เดิมหาวิหารโลซานนี้ชื่อวิหารนอเตรอดาม ตามการตั้งชื่อของนิกายคาทอลิก แต่เมื่อเปลี่ยนเป็นวิหารนิกายโปรเตสแตนท์ในยุคที่มีการปฏิรูปศาสนา ก็ไม่ค่อยมีใครเรียกวิหารแห่งนี้ว่าวิหารนอเตรอดามอีกต่อไป แต่เรียกมหาวิหารโลซานแทน



มหาวิทยาลัยโลซาน (ฝรั่งเศส: Université de Lausanne) หรือ UNIL ถ้าพูดถึงการมาทัวร์สวิตเซอร์แลนด์นั้น อีกสถานที่หนึ่งที่ไม่ควรพลาด เพราะถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่มีประวัติศาสตร์เกี่ยวข้องกับราชวงศ์ของไทยอย่างมาก มหาวิทยาลัยโลซานตั้งอยู่ที่เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1537 ในฐานะโรงเรียนเทววิทยา และเปลี่ยนเป็นมหาวิทยาลัยในปี ค.ศ. 1890 ปัจจุบันมีนักศึกษา 13,500 คน และนักวิจัย 2,200 คน เข้าศึกษาและทำงานในมหาวิทยาลัย และนักศึกษาต่างชาติประมาณ 1,500 คน จาก 120 เชื้อชาติ เข้าศึกษาในหลักสูตรต่าง ๆ รวมทั้งมีโครงการแลกเปลี่ยนกับมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงระดับโลกต่าง ๆ

โดยมีอาคารที่เป็นเอกลักษณ์และมีชื่อเสียงตั้งตระหง่านอยู่ นั่นคือ Palais de Rumine อาคารนีโอคลาสสิคขนาดใหญ่ สร้างติดกับจุตรัสริปอนน์ สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1892 เพื่อใช้เป็นมหาวิทยาลัยโลซาน ต่อมาเมื่อปี ค.ศ.1980 ได้ย้ายที่ตั้งไปชานเมือง อาหารแห่งนี้จึงเปลี่ยนเป็นห้องสมุดมหาวิทยาลัยและแบ่งพื้นที่เป็นพิพิธภัณฑ์ห้าแห่งของรัฐ ได้แก่พิพิธภัณฑ์ศิลปะ (Cantonal Meseum of Fine Arts), พิพิธภัณฑ์โบราณคดี และประวัติศาสตร์ (Cantonal Museum of Archeology and History), พิพิธภัณฑ์เงินตรา (Cantonal Museum of Money), พิพิธภัณฑ์ธรณีวิทยา (Cantonal Museum of Geology) และ พิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับชีวิตสัตว์ (Cantonal Museum of Zoology)

เมื่อครั้งที่ยังเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยโลซาน สมเด็จพระพี่นางฯ รัชกาลที่ 8 และรัชกาลที่ 9 ทรงสำเร็จการศึกษาจากที่นี่ โดยสมเด็จพระพี่นางฯ ทรงศึกษาด้านเคมี รัชกาลที่ 8 ทรงศึกษาด้านนิติศาสตร์ และรัชกาลที่ 9 ทรงศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ แต่เมื่อรัชกาลที่ 9 ได้ทรงครองราชย์ ก็ได้ทรงเปลี่ยนมาศึกษาด้านกฏหมาย รัฐศาสตร์ และเศรษฐศาสตร์ เพื่อใช้ในการบริหารราชการแผ่นดิน ส่วนสมเด็จย่าก็ทรงศึกษาในวิชาภาษาละติน ปรัชญา วรรณคดี และสันสกฤตเพิ่มเติมด้วย

มหาวิทยาลัยโลซานน์ประกอบด้วย 7 คณะ คือ

- คณะชีววิทยาและการแพทย์
- คณะเทววิทยาและศาสนศึกษา
- คณะธรณีศาสตร์และสิ่งแวดล้อม
- คณะนิติศาสตร์ การบริหารงานยุติธรรม และการบริหารรัฐกิจ
- คณะบริหารธุรกิจและเศรษฐศาสตร์
- คณะสังคมศาสตร์และรัฐศาสตร์
- คณะอักษรศาสตร์

ศิษย์เก่าที่มีชื่อเสียง

- พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
- พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล
- สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
- เจ้าชายแบร์นฮาร์ดแห่งลิพเพอ-บีสเตอร์เฟลด์
- Pascal Couchepin Swiss Federal Councellor
- Bertrand Piccard จิตแพทย์และนักบอลลูน
- Edmond Pidoux กวีและนักเขียนชาวสวิส
- Charles Ferdinand Ramuz นักเขียน

 

ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก : หนังสือสวิตเซอร์แลนด์เล่มเดียวเที่ยวได้จริง โดย สิรภพ มหรรฆสุวรรณ



สวนสาธารณะเดอน็องตู (Denantou) เป็นอีกสถานที่หนึ่งในการทัวร์สวิตเซอร์แลนด์และเมืองโลซานน์ เพราะที่นี่มีเรื่องราวอันน่าประทับใจ และมีประวัติมากมายของราชวงศ์ไทย ทั้งในหลวงรัชกาลที่ 8 และรัชกาลที่ 9 โดยสวนสาธารณะเดอน็องตู (Denantou) เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ โดยบริเวณหัวมุมของสวน จะมีบันไดเล็ก ขึ้นไปอีกนิดหน่อย จะมีรูปปั้นลิง 3 ตัว ตัวหนึ่งปิดตา ปิดหู และปิดปาก เป็นรูปปั้นที่ในหลวงรัชกาลที่ 8 และ 9 ทรงโปรดปรานมาก ขณะทรงพระเยาว์เมื่อผ่านมาเมื่อใด ก็มักจะแวะเข้ามาชมอยู่เสมอ มีกล่าวถึงในหนังสือ “เจ้านายเล็กๆ ยุวกษัตริย์” ที่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ทรงนิพนธ์ว่า “ไม่ยอมฟัง ดู พูด ในสิ่งที่เลว”

ภายใน สวนสาธารณะเดอน็องตู (Denantou) ยังมีศาลาไทยเฉลิมพระเกียรติ  ที่ชาวไทยภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก (มีทัวร์ของเรามาชมที่นี่ด้วย) และสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติในวโรกาสที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี เมื่อปี พ.ศ.2549 และครบรอบ 75 ปี ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับสวิตเซอร์แลน เป็นศาลาสีทองอร่ามตั้งอยู่กลางสวน ออกแบบโดยนาวาอากาศเอกอาวุธ เงินชูกลิ่น อดีตอธิบดีกรมศิลปากร และศิลปินแห่งชาติ

ลักษณะของศาลาไทย เป็นศาลาไม้แบบจตุรมุข มียอดมณฑป กว้าง 6 เมตร ยาว 6 เมตร สูง 16 เมตร ก่อสร้างด้วยไม้เนื้อแข็ง และไม้สัก ส่วนประกอบจากหินที่ใช้ในการก่อสร้างทุกชิ้น ขนส่งจากประเทศไทยไป ศาลาไทยสร้างแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ.2550 และสมเด็จพระเทพฯ ได้เสด็จฯ ไปประกอบพิธีเปิดศาลาไทยอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ.2532

เรียกได้ว่าเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่เวลามาทัวร์สวิตเซอร์แลนด์นั้น ไม่ควรพลาด Hapylongway ของเราก็ได้่บรรจุสวนสาธารณะเดอน็องตูนี้ไว้ในโปรแกรมทัวร์สวิตเซอร์แลนด์ของเราด้วย เพราะว่าทั้งได้เจอบรรยากาศสบายๆ สไตล์สวิตเซอร์แลนด์ และยังได้ชมความงดงามของศาลาไทย และได้ตามรอย ในหลวงรัชกาลที่ 9 อีกด้วย