พิพิธภัณฑ์โอลิมปิก เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ควรห้ามพลาดในการมาทัวร์สวิตเซอร์แลนด์ และเมืองโลซานน์ มีประวัตศาสตร์และความประทับใจมากมายให้ได้เก็บภาพเป็นที่ระลึก พิพิธภัณฑ์โอลิมปิกนั้นเปิดให้เข้าชมตั้งแต่ปี ค.ศ.1993 ภายในจัดแสดงประวัติความเป็นมาของกีฬาโอลิมปิก ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน รวมถึงภาพการแข่งขัน วิวัฒนาการของอุปกรณ์แข่งขันกีฬาแต่ละยุค แต่ละประเภทที่มีการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง พลาดไม่ได้เลยคือภาพความประทับใจที่น่าภูมิใจที่สุดสำหรับชาวไทยและหนึ่งเดียวในพิพิธภัณฑ์ นั่นคือ ชุดกีฬาเหรียญทองโอลิมปิกยกน้ำหนักหญิง ปวีณา ทองสุก ที่คว้าเหรียญทองและรางวัลนักกีฬาหญิงยอดเยี่ยมจากการแข่งขันโอลิมปิก 2004 กรุงเอเธนท์ ประเทศกรีก 

พิพิธภัณฑ์โอลิมปิก อยู่ริมทะเลสาบเจนีวา มีภาพแสดงกว่า 510,000 ภาพ มีฟิล์มหนังถ่ายทอดการแข่งขันและเหตุการณ์สำคัญกว่า 23,000 ชั่วโมง และมีห้องสมุดให้ค้นคว้าอีก 22,000 เล่ม ตั้งอยู่ย่านอูชี เป็นท่าเรือริมทะเลสาบเจนีวาของเมืองโลซานน์ มีปราสาทที่สร้างขึ้นในสมัยคริสตวรรษที่ 12 ปัจจุบันเป็นโรงแรมหรูของเมือง 

โลซานเมืองโอลิมปิก เป็นเมืองหลวงของกีฬาโอลิมปิก ที่ไม่เคยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก แม้แต่ครั้งเดียว ถือว่าเป็นเมืองหลวงโอลิมปิก เพราะสำนักงานใหญ่ของโอลิมปิกสากลอยู่ที่นี่



เจนีวา (อังกฤษ: Geneva) นั้นเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ (รองจากซูริค) โดยถือว่าเป็นเมืองที่มีแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกมากมายเช่น ทะเลสาบเจนีวา น้ำพุเจ็ทโด้ เป็นต้น เป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในภาครอม็องดีอัน เป็นภูมิภาคที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นหลักในสวิตเซอร์แลนด์ นครเจนีวาตั้งอยู่บริเวณต้นแม่น้ำโรนซึ่งไหลออกจากทะเลสาบเจนีวา ณ ปัจจุบัน เจนีวามีสถานะเป็นเมืองหลวงของสาธารณรัฐแห่งรัฐเจนีวา

ในอดีตเมืองเจนีวาเคยอยู่ภายใต้การปกครองของโรมัน และฝรั่งเศส แต่เมื่อได้รับอิสรภาพจึงรีบหาพันธมิตรเพราะไม่อยากโดนรุกรานอีก โดยการเข้าร่วมเป็นสมาชิกพันธรัฐสวิส จากนั้นเจนีวาก็รู้จักอย่างกว้างขวางในนาม "เมืองแห่งองค์กรนานาชาติ"

แหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจในเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์



พิพิธภัณฑ์ Patek Philippe สร้างขึ้นในอาคารอาร์ตเดโค ในพื้นที่ของ Plainpalais  เมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์  เมื่อปี 2001 เพราะความรักและความคลั่งไคล้นาฬิกาของ Philippe Stern พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นที่รวบรวมประวัติการทำนาฬิกาที่มีมานานกว่า 500 ปี

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้จัดแสดงนาฬิกาตั้งแต่รุ่นแรกๆ จนถึงรุ่นปัจจุบัน บนพื้นที่การจัดแสดงกว่า 4 ชั้น โดยแต่ละเรือนนั้นไม่ธรรมดา หาดูได้ยาก และบางเรือนแทบไม่สามารถตีออกมาเป็นราคาได้เลย โดยมีไฮไลท์ที่นี่คือ นาฬิกาที่ซับซ้อนมากที่สุดที่เคยทำซึ่งก็คือ "Caliber 89"

ใครที่ชอบนาฬิกายี่ห้อนี้ หรือต้องการสัมผัสความอลังการณ์ของ Patek Philippe ก็ไม่ควรพลาดเลยเมื่อมาเยือนเมืองเจนีวาแห่งนี้ โดยพิพิธภัณฑ์ Patek Philippe มีค่าเข้าชมประมาณ 10 ฟรังก์สวิส หรือประมาณ 350 บาท



มหาวิหารแซงต์ปิแอร์ (Cathedral St.Piere)  เป็นวิหารใหญ่ของเมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ของนิกายโปรเตสแตนท์ สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1160 (หรือ พ.ศ. 1703 หรือเกือบพันปีมาแล้วเลยทีเดียว) โดยมีต้นแบบจากสไตล์โรมาเนสก์ แต่หลังจากนั้นก็มีการปรับปรุง ซ่อมแซมอยู่หลายครั้ง

ปัจจุบันกลายเป็นวิหารลูกครึ่ง ที่ผสมผสานด้วยสไตล์โรมาเนสก์ โกธิก และนีโอคลาสสิค เราจึงได้เห็นว่าอาหารมีเสาโรมันค้ำอยู่ ความรุ่งเรืองของวิหารแห่งนี้เกิดขึ้นช่วงศตวรรษที่ 16 เมื่อ John Calvin เข้ามามีบทบาทการเป็นนักปฏิรูปศาสนา และผู้สร้างสถานศึกษาในเมืองเจนีวา โดยในปัจจุบันในวิหารแซงต์ปิแอร์มีของเก้าอี้ของ John Calvin ที่เคยใช่นั่งเป็นประจำ จัดแสดงไว้ให้ชมอีกบริเวณด้านในอีกด้วย

โดยเราสามารถขึ้นบันไดไปด้านบนของมหาวิหาร เพื่อชมเมืองเจนีวาได้อย่างครบถ้วน และสวยงามยิ่งนัก



เขตเมืองเก่าเจนีวา ส่วนใหญ่จะเป็นร้านอาหาร ร้านกาแฟ และโรงแรมต่างๆมากมาย บริเวณนี้มีชื่อเสียงเพราะว่าเป็นที่ตั้งของ จตุรัสปลาซดูบูร์ก เดอฟูร์ (Place du Bourg de Four) ตลาดเก่าแก่ที่มีมาตั้งแต่สมัยโรมัน และยังเคยใช้เป็นศูนย์กลางการชุมนุมนักคิด นักเขียน ในช่วงยุคปฏิรูป (Reformation)

เรียกได้ว่าบริเวณเขตเมืองเก่าเจนีวานี้ก็ได้เปลี่ยนจากเดิมไปมาก แต่ยังคงความคลาสสิค และมีกลิ่นอายครั้งเก่าๆ ใครอยากหาที่นั่งชิลๆ นั่งจิบกาแฟ ดื่มเบียร์ ฟังเสียงน้ำพุกระทบลงน้ำ ฟังเพลงตามข้างถนนมี ช้อปปิ้งเล็กน้อย หาของกินอร่อยๆ หรือโรงแรมที่พัก ก็ถือว่าเป็นอีกย่านนึงซึ่งไม่ควรพลาดในการมาเที่ยวเมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์



สวนชาร์แดงอองเกล เป็นสวนที่ตั้งอยู่ที่เมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์อยู่ไม่ไกลจากบริเวณทะเลสาบเจนีวา สวนชาร์แดงอองเกลเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ สไตล์อังกฤษ มีการตกแต่งด้วยดอกไม้และต้นไม้อย่างสวยงาม และในบางวันก็มีการจัดเทศกาลดนตรีเล็กๆ รวมถึงงานกิจกรรมต่างๆมากมาย ภายในสวนมีอนุสาวรีย์ Monument National เป็นรูปปั้นเทพี 2 องค์ เพื่อเป็นอนุสรณ์รำลึกเนื่องในโอกาสที่รัฐเจนีวาเข้าร่วมเป็นสมาชิกของสมาพันธรัฐสวิสเมื่อปี ค.ศ.1814

สวนชาร์แดงอองเกลสร้างขึ้นในปี 1854 เพื่อเติมความสดใสให้กับภูมิทัศน์บริเวณท่าเรือ ตัวสวนครอบคลุมพื้นที่ริมน้ำ ราว 24,000 ตร.ม. มีทางเดินลัดเลาะชมดอกไม้ ต้นไม้ พร้อมทั้งทิวทัศน์น่าประทับใจของทะเลสาบเจนีวาและสะพานมองบลังค์

จุดไฮไลท์ของที่นี่คือ Horloge Fleurie ซึ่งเป็นอนุสรณ์ยอดนิยมที่มีผู้คนมาถ่ายรูปมากที่สุดแห่งหนึ่งในเมือง นาฬิกาขนาดยักษ์ที่ใช้งานได้นี้มีหน้าปัดทำจากดอกไม้ 6,000 ชนิดและมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 5 เมตร ออกแบบโดยใช้ดอกไม้ตามฤดูกาลและเปลี่ยนรูปแบบทุกปี



แมทเทอร์ฮอร์น หรือ The Matterhorn คือยอดเขาที่โดดเด่นที่สุดของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และยังเป็นภูเขาที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งในเทือกเขาแอลป์ โดยมีชายแดนติดกับประเทศอิตาลียอด เรียกได้ว่าใครก็ตามที่มาทัวร์สวิตเซอร์แลนด์ ต้องห้ามพลาดการชมเทือกเขาแห่งนี้ โดยจุดชมวิวที่สวยงามอยู่ใกล้กับเมืองเซอร์แมทในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ยอดเขาแมทเทอร์ฮอร์นนี้มีความสูงถึง 4,478 เมตร และรูปร่างสูงแหลมคล้ายพีระมิด และมีลักษณะต่างกันออกไปเมื่อมองต่างด้าน ภูเขานี้มีชื่อเสียงตรงส่วนที่เรียกว่า “ฮอร์น” ที่แปลว่า เขาสัตว์ หรือยอดพีระมิดที่โค้งลงเล็กน้อย ตั้งค่อมชายแดนสวิตเซอร์แลนด์และอิตาลี ในภาษาอังกฤษและเยอรมันเรียกว่า แมทเทอร์ฮอร์น ภาษาอิตาลีเรียกว่า มอนเตแชร์วีโน และภาษาฝรั่งเศสเรียกว่า มงแซร์แวง

แมทเทอร์ฮอร์นเกิดจากการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลกเมื่อ 50 ล้านปีก่อน เมื่อครั้งที่ทวีปแอฟริกาและยุโรปเคลื่อนเข้ามาชนกัน รูปร่างยอดที่เห็นอยู่นี้เกิดจากธารน้ำแข็งในยุคน้ำแข็งได้บดขยี้เป็นวงรอบภูเขาระหว่างแมทเทอร์ฮอร์นและยอดเขามอนสเตโรซาในอิตาลี ซึ่งสูง 4,634 เมตร คือช่องเขาเอโอตุลสูง 3,317 เมตร

ด้วยความยิ่งใหญ่และเป็นเอกลักษณ์ของเทือกเขาแมทเทอร์ฮอร์น ทำให้มีบริษัททั่วโลกต่างแย่งชิงเพื่อที่จะนำมาเป็นสัญญาลักษณ์ของตนเอง โดยเราน่าจะจำได้ดีโดยเฉพาะ ผู้ผลิตหนังรายใหญ่พาราเมาท์พิคเจอร์ ที่เราจะเห็นก่อนจะได้ชมภาพยนตร์ดังหลายๆเรื่อง อีกทั้งช็อกโกแล็ตทับเบอโรนที่ผู้คนทั่วโลกต่างรู้จักกันเป็นอย่างดี

ในปี 1865 การประชุมสุดยอด สิ้นสุดลงอย่างน่าเศร้าเมื่อนักปีนเขา 4 คนเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิต แต่ ณ วันนี้มีนักปีนเขานับล้านคน ที่ต้องการความท้าทาย และหาประสบการณ์ที่แปลกใหม่ มาเยือนที่นี่ ที่ยอดเขาอันยิ่งใหญ่แห่งนี้ตั้งอยู่ในหมู่บ้าน Zermatt สวิตเซอร์แลนด์ เป็นสถานที่ที่มีเสน่ห์และเป็นรีสอร์ทระดับนานาชาติระดับนานาชาติอีกด้วย

เมืองแมทเทอร์ฮอร์นนั้นไม่อนุญาตให้รถยนต์วิ่งอีกแล้วมีเพียงจักรยาน หรือรถรางต่างๆ และได้รับการยกย่องว่า เป็นเมืองปลอดมลพิษของโลก ตั้งอยู่บนความสูงกว่า 1,620 เมตร หากต้องการมาที่นี่ต้องเดินทางโดยรถไฟ และรถไฟจะมาจากหลายทาง หรือที่ดีกว่านั้นจะมีรถไฟชมวิวสายกลาเซียร์เอ็กซเพรส จะได้เพลิดเพลินกับทิวทัศน์ที่สวยงามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ประทับใจความสวยงามที่โลกสร้างขึ้นอย่างติดตาตรึงใจ ทั้งหิมะขาวโพลน หรือทุ่งหญ้าอันเขียวขจี

การขึ้นไปชมแมทเทอร์ฮอร์นนั้น สามารถขึ้นไคลน์แมทเทอร์ฮอร์น โดยการขึ้นกระเช้า (Cable Car) ที่เรียกว่า Matterhorn glacier Paradise ซึ่งเป็น Cable Car ที่นำท่านขึ้นไปสูงที่สุดในยุโรปด้วยความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 3,883 เมตร



ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ (Switzerland) เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่สวยงามและเงียบสงบไม่แพ้ที่ไหน ๆ ในโลก ธรรมชาติสวยงามดังภาพวาด จึงเป็นประเทศที่ใครหลาย ๆ คนฝันอยากจะไปท่องเที่ยว เพื่อสัมผัสกับความงามของที่นี่ด้วยตาของตัวเองสักครั้ง

HappyLongWay จึงขอนำเสนอ 10 สถานที่ในสวิตเซอร์แลนด์ ที่ห้ามพลาด มาดูกันเลย

1. เทือกพิลาทุส (Mt. Pilatus)

ยอดเขาพิลาตุส (Mt Pilatus) หรือภูเขามังกร เป็นยอดเขาคู่บ้านคู่เมืองลูเซิร์น มีความสูงราว 2,120 เมตร เราจะได้เห็นทัศนียภาพอันงดงามของทะเลสาบลูเซิร์น ทะเลสาบสี่พันธรัฐ รวมทั้งความงดงามของแนวเทือกเขาแอลป์

2. น้ำพุเจทโด้ (Jet d'Eau)

น้ำพุเจทโด้่ “สัญลักษณ์ของเมืองเจนีวา” ที่มีความสูงถึง 390 ฟุต น้ำพุเจทโด้  จะส่งน้ำครั้งละ 500 ลิตรต่อวินาที ขึ้นไปพุ่งกระจายบนอากาศที่ความสูง 140 เมตร ด้วยความเร็ว 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในทะเลสาบเจนีวา โดยตั้งเป็นระบบ security valve ของโรงงาน Coulouvreniere hydraulic factory ตั้งแต่ปี 1891 ต่อมาก็ได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ท่องเที่ยวของ Geneva มาจนถึงปัจจุบัน

3. GRINDELWALD

Grindelwald ใน Switzerland เป็นหมู่บ้านและชุมชนเล็กๆ ที่เงียบสงบในกรุงเบิร์น เมืองหลวงของสวิตเซอร์แลนด์ โดยตั้งอยู่บนเทือกเขา Bernese Alps สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 1,034 เมตร เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมทั้งในฤดูหนาวและฤดูร้อนมาช้านาน โดยในฤดูหนาวคนมักจะนิยมมาเล่นสกี หรือถ้าเป็นฤดูร้อนก็จะเป็นกิจกรรมการปีนเขา ภายในชุมชนมีโรงแรม ร้านค้า และบ้านเรือนไม่ต่างจากเมืองอื่นๆ บรรยากาศธรรมชาติไม่วุ่นวาย ท่ามกลางขุนเขาอันยิ่งใหญ่

4. น้ำตกไรน์ (Rhein Fall)

สถานที่สุดฮ็อตในสวิตเซอร์แลนด์ และเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่สุดของทวีปยุโรป ตั้งอยู่บนแม่น้ำไรน์บริเวณทางเหนือของนครซือริช บริเวณพรมแดนระหว่างรัฐชัฟเฮาเซินกับรัฐซือริชในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ น้ำตกแห่งนี้มีความกว้าง 150 เมตรและสูง 23 เมตร ในช่วงฤดูหนาว จะมีปริมาณน้ำเฉลี่ยราว 250 ลูกบาศ์กเมตรต่อวินาที และในฤดูร้อนจะมีน้ำเฉลี่ยมากถึง 600 ลูกบาศ์กเมตรต่อวินาที[3]ปลาทั่วไปไม่สามารถว่ายขึ้นน้ำตกแห่งนี้ได้ มีเพียงปลาไหลเท่านั้นที่มีเทคนิคเฉพาะตัวในการไต่ขึ้นน้ำตก น้ำตกแห่งนี้ถือกำเนิดขึ้นในยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้ายเมื่อราว 14,000 ถึง 17,000 ปีที่แล้ว ปัจจุบันถือเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีผู้เยี่ยมชมมากที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์

5. หอนาฬิกา (Zytglogge)

หอนาฬิกาแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1191 จุดประสงค์เพื่อเป็นประตูเมืองและได้มีการสร้างเพิ่มเติมในปี ค.ศ. 1530 ให้มีความสวยงามมากยิ่งขึ้น ไฮไลท์ที่ต้องรอชมทุก ๆ 5 นาที ก่อนจะครบรอบชั่วโมงจะมีตุ๊กกาออกมาเต้นระบำให้นักท่องเที่ยวได้หยุดมองหยุดชมกันอีกด้วย หอนาฬิกาแห่งนี้มีความโดดเด่นในสถาปัตยกรรมการสร้างด้วยความสวยงาม หอนาฬิกาหน้าปัดทำด้วยทองแดงขนาดใหญ่และยังมีนาฬิกาหน้าปัดขนาดเล็กอีกหนึ่งเรือนอยู่ด้านล่างภายในหน้าปัดนาฬิกาขนาดเล็กจะแสดงเวลา วัน เดือน ปี และ จักรราศี

6. รถไฟสายโรแมนติก (Bernina Express)

รถไฟสาย Bernina Express เป็นรถไฟที่วิ่งจากเมือง Chur ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ไปสิ้นสุดยังเมือง Tirano ประเทศอิตาลี โดยวิ่งข้ามผ่านเทือกเขาแอลป์ โดยรถไฟสายนี้ได้รับการยกย่องจาก UNESCO ให้เป็นรถไฟเส้นทางสายมรดกโลกเมื่อปี 2008 รถไฟจะวิ่งจากเมือง Chur ไป Tirano โดยใช้เวลาประมาณ 4 ชม. ข้ามสะพาน 196 แห่ง 55 อุโมงค์ โดยผ่าน Bernina Pass ของเทือกเขาแอลป์ที่ความสูง 2,253 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล เรียกได้ว่าเป็นรถไฟสุดแสนโรแมนติกอีกแห่งหนึ่งของโลก

7. สะพานไม้ชาเปล (Chapel bridge)

สะพานไม้ชาเปล (Kapelbruck หรือ Chape Bridge)  ตั้งอยู่ ณ เมืองลูเซิรน์ (Luzern) ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ (Switzerland) เป็นสะพานที่ถูกสร้างขึ้นด้วยไม้ ในศตวรรษที่ 14  โดยสะพานแห่งนี้ถือว่าเป็นสะพานไม้ที่มีความเก่าแก่ที่สุดของยุโรป เป็นสะพานที่ทอดตัวข้ามแม่น้ำรอยส์   โดยตลอดแนวสะพานนั้นถูกประดับด้วยภาพเขียนเก่าแก่อายุกว่า 400  ปี ที่บอกเล่าถึงประวัติของประเทศสวิสเซอร์แลนด์เป็นจำนวนมาก สะพานนี้เคยถูกไฟไหม้เสียหายอย่างมากใน ค.ศ. 1993 แต่ได้รับการซ่อมแซมใหม่จนอยู่ในสภาพที่ดีเหมือนเดิม ปัจจุบันได้กลายเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญต่อประวัติศาสตร์ของเมืองลูเซิร์นอีกด้วย

8.  ยอดเขาจุงเฟรา (Jungfraujoch)

ยอดเขาที่สูงที่สุดของยุโรป มีความสูง 4,158 เมตร (13,642 ฟุต) เป็นสถานที่ที่ขึ้นชื่อในเรื่องความงาม ได้รับการยกย่องว่า เป็น Top of Europe  ยอดเขาจุงเฟรา มีจุดชมวิวที่สูงที่สุดในยุโรปแห่งนี้ มองเห็นได้กว้างไกลที่สุด ณ จุด 3,571 เมตร มีถ้ำน้ำแข็งที่แกะสลักให้สวยงามอยู่ใต้ธารน้ำแข็ง 30 เมตร สัมผัสกับภาพของธารน้ำแข็งที่ยาวที่สุดในเทือกเขาแอลป์ ยาวถึง 22 กิโลเมตร และหนา 700 เมตรโดยไม่เคยละลาย  บนยอดเขา และสถานที่แห่งนี้ยังเป็นที่นิยมของนักสกีมาเล่นกีฬาที่ท้าทายที่นี่

9.  ปราสาทชาโต เดอ ชิลยอง (Chateau de Chillon)

ปราสาทชิลยอง (Château de Chillon) เป็นปราสาทเก่าแก่อายุกว่า 800 ปี สร้างบนเกาะหินริมทะเลสาบเจนีวา ของเมืองมองเทรอซ์ สร้างขึ้นมาเพื่อคอยเก็บค่าผ่านทางของเรือที่ล่องผ่านทะเลสาบเจนีวา อีกทั้งยังเป็นสถานที่ที่ทำให้ Lord Byron เกิดแรงบันดาลใจในการประพันธ์บทกวีโรแมนติกเรื่อง "The Prisoner of Chillon" อีกด้วย

10. แมทเทอร์ฮอร์น(Matterhorn)

แมทเทอร์ฮอร์น (Matterhorn) หินทรงพีระมิดที่สูงเด่นเป็นสง่าท่ามกลางเทือกเขาแอลป์อันลือลั่น ด้วยความสูง 4,447 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล และรูปทรงสามเหลี่ยมพีรามิด ณ จุดบนสุดของยอดเขา ดยรอบภูเขานี้มีชื่อเสียงตรงส่วนที่เรียกว่า “ฮอร์น” ที่แปลว่า เขาสัตว์ หรือยอดพีระมิดที่โค้งลงเล็กน้อย ตั้งค่อมชายแดนสวิตเซอร์แลนด์และอิตาลี ในภาษาอังกฤษและเยอรมันเรียกว่า แมทเทอร์ฮอร์น ภาษาอิตาลีเรียกว่า มอนเตแชร์วีโน และภาษาฝรั่งเศสเรียกว่า มงแซร์แวง แมทเทอร์ฮอร์นเกิดจากการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลกเมื่อ 50 ล้านปีก่อน เมื่อครั้งที่ทวีปแอฟริกาและยุโรปเคลื่อนเข้ามาชนกัน รูปร่างยอดที่เห็นอยู่นี้เกิดจากธารน้ำแข็งในยุคน้ำแข็งได้บดขยี้เป็นวงรอบภูเขาระหว่างแมทเทอร์ฮอร์นและยอดเขามอนสเตโรซาในอิตาลี ซึ่งสูง 4,634 เมตร คือช่องเขาเอโอตุลสูง 3,317 เมตร



องค์การสหประชาชาติ (United Nations) ตัวย่อ UN หรือที่เรารู้จักกันดีในนาม "ยูเอ็น" เป็นสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาทัวร์สวิตเซอร์แลนด์ เพราะถือว่ามีโอกาสได้มาเยือนประวัติศาสตร์ของโลก และน่าเป็นที่ที่เก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกอีกด้วย องค์การสหประชาชาติ  เป็นองค์การระหว่างประเทศซึ่งมีความมุ่งหมายที่แถลงไว้เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ความร่วมมือในกฎหมายระหว่างประเทศ ความมั่นคงระหว่างประเทศ การพัฒนาเศรษฐกิจ กระบวนการทางสังคม สิทธิมนุษยชน และการบรรลุสันติภาพโลก สหประชาชาติก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1945 หลังสงครามโลกครั้งที่สอง เพื่อแทนที่สันนิบาตชาติ เพื่อยุติสงครามระหว่างประเทศ เพื่อเป็นเวทีสำหรับการเจรจา สหประชาชาติมีองค์กรจำนวนมากเพื่อนำภารกิจไปปฏิบัติ

องค์การสหประชาชาตินั้นมีสมาชิกทั้งหมดถึง 193 ประเทศ ระบบสหประชาชาติอยู่บนพื้นฐานของ 6 เสาหลัก ได้แก่ สมัชชาใหญ่ คณะมนตรีความมั่นคง คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคม สำนักเลขาธิการ และ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ รวมถึงคณะมนตรีภาวะทรัสตี (ปัจจุบันยุติการทำงานแล้ว) นอกจากนี้ยังมีองค์กรอื่น ๆ อีกเช่น องค์การอนามัยโลก ยูเนสโก และยูนิเซฟ ตำแหน่งที่โดดเด่นที่สุดของสหประชาชาติ คือ เลขาธิการสหประชาชาติ ผู้ดำรงตำแหน่งคนปัจจุบัน คือ อังตอนีอู กูแตรึช ชาวโปรตุเกส ซึ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2017 ต่อจาก พัน กี-มุน ชาวเกาหลีใต้

องค์การสหประชาชาติ (United Nations)  มีบทบาทสำคัญอย่างมากในเจนีวาสวิตเซอร์แลนด์ เพราะหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ก็ได้มีการตั้งองค์การสันนิบาตแห่งชาติ (League of Nations) เมื่อปี ค.ศ.1920 หลังจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นองค์การสหประชาชาติ (United Nations) และก็ย้ายสำนักงานใหญ่ไปที่ประเทศสหรัฐอเมริกา แต่ยังคงใช้สำนักงานเป็นสำนักงานใหญ่ประจำยุโรป และใช้เป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของหน่วยย่อยต่างๆขององค์การสหประชาชาติ อาทิเช่น องค์การอนามัยโลก (WTO) องค์การการค้าโลก (WTO) และอีกต่างๆมากมาย ทำให้เวลามีการจัดงานประชุม หรือจัดเลี้ยงต่างๆ ก็มีผลทำให้เศรษฐกิจของเมืองเจนีวานั้นคึกคักขึ้นอีกด้วย

เราสามารถเข้าเยี่ยมชมองค์การสหประชาชาติ (United Nations) ได้ด้วย โดยเสียค่าเข้าประมาณ 12 ฟรังก์สวิส (ประมาณ 400 บาท) โดยเปิดให้ชมทั้งปี เป็นรอบๆไป ก็จะมีการพาชมห้องต่างๆพร้อมกับอธิบายประวัติอีกด้วย



น้ำพุ Jet d'Eau หรือ แฌโด หรือบางคนเรียกว่าน้ำพุเจ็ทโด้ (ฝรั่งเศส: Jet d'Eau, ความหมาย: พวยน้ำ) เป็นแลนด์มาร์คที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของสวิตเซอร์แลนด์ และเมืองเจนีวา ตั้งอยู่ในกลางทะเลสาบเจนีวาบริเวณปากแม่น้ำโรน น้ำพุแห่งนี้ใช้ปั๊มขนาด 500 กิโลวัตต์สองตัวที่กำลังไฟฟ้า 2,400 โวลต์ ทำการปั๊มน้ำขึ้นสู่อากาศที่ความสูง 140 เมตร เป็นนับเป็นปริมาตรกว่า 500 ลิตรต่อวินาที นั่นหมายความว่าตลอดเวลาที่น้ำพุแห่งนี้ทำงาน จะมีน้ำปริมาณกว่า 7,000 ลิตรลอยอยู่ในอากาศเลยทีเดียว

น้ำพุ Jet d'Eauได้รับการติดตั้งในปี ค.ศ. 1886 ค่อนไปทางใต้เล็กน้อยจากตำแหน่งปัจจุบันซึ่งเมื่อแรกติดตั้งน้ำพุมีความสูงเพียง 30 เมตร ต่อมาในปี ค.ศ. 1891 น้ำพุถูกย้ายมาติดตั้งในตำแหน่งปัจจุบันเพื่อเฉลิมฉลองในงานเทศกาล 600 ปีการก่อตั้งสมาพันธรัฐสวิส และมีการเพิ่มความแรงของน้ำพุเป็นที่ความสูง 90 เมตร ในปี ค.ศ. 1951 มีการเพิ่มความแรงของน้ำพุอีกเป็นความสูงปัจจุบัน ซึ่งต้องสร้างสถานีสูบน้ำแยกต่างหาก

จุดชมน้ำพุ Jet d'Eau ที่ได้มุมสวยที่สุดแนะนำให้ไปที่กลางสะพานมงต์บลังก์ (Mong-Blance) ที่ใช้สำหรับข้ามทะเลสาบไปสวนอองเกลที่อยู่อีกฝั่ง และในบางวันที่เกิดลมแรงมาก อาจจะพลาดการชม น้ำพุ Jet d'Eau เพราะว่าเขากลัวละอองน้ำมารบกวนผู้อื่นหรือนักท่องเที่ยวต่างๆ



Happylongway ขอแนะนำเรื่องน้ำดื่ม หรือน้ำเปล่า ในการมาทัวร์สวิตเซอร์แลนด์ โดยปกติแล้วน้ำดื่มในสวิตเซอร์แลนด์นั้นก็คล้ายๆกับประเทศต่างๆในยุโรป หรือประเทศที่มีระบบน้ำประปาที่ดีในโลก ที่สามารถเปิดดื่มจากก๊อกได้เลย (Tap Water) และโดยเวลาไปทัวร์สวิตเซอร์แลนด์นั้น เราอาจจะซื้อน้ำดื่มจากซุปเปอร์มาเก็ต หรือร้านสะดวกซื้อต่างๆ โดยเมื่อดื่มหมดแล้วก็สามารถนำขวดมาไว้กรอกน้ำจากก๊อก (ข้อแนะนำให้ใช้ก๊อกน้ำอุณหภูมิปกติเท่านั้น ห้ามใช้ก๊อกน้ำร้อนเพราะอาจจะมีแก๊สเจือปนได้) เพื่อใช้ดื่มได้

โดยเราไม่ต้องกังวลเรื่องความสะอาดเลย เพราะเวลาเราไปรับประทานอาหาร ดื่มกาแฟ นั่งชิล ตามร้านต่างๆนั้น น้ำที่ร้านนำมาให้เราดื่มฟรีๆ ก็คือน้ำจากก๊อกน้ำ (Tap Water) นั่นเอง แต่ถ้าหากเราบอกว่า ขอน้ำดื่ม (Water) เฉยๆ ทางร้านจะเอาน้ำเปล่าแบบเป็นขวดมาให้ (เสียเงิน) และโดยส่วนใหญ่จะเป็นน้ำแร่จากธรรมชาติ (Mineral Water) และที่สำคัญนั้น ราคาก็จะแพงกว่าร้านซุปเปอร์มาเก็ต หรือร้านสะดวกซื้อทั่วไป

ราคาน้ำดื่มในสวิตเซอร์แลนด์นั้นก็ถือว่าไม่แพงมากนัก เมื่อเทียบกับค่าครองชีพ หรือรายได้ของชาวสวิส เช่นน้ำแร่ยี่ห้อดังๆ ทั่วไปขนาด 0.5 ลิตร ก็มีราคาประมาณ 0.8 ฟรังก์สวิส หรือแค่ราวๆ 28 บาทเท่านั้นเอง (1 ฟรังก์สวิส = 33 บาทไทย เรตจาก Superich เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2561) และก็ถ้าขวดขนาดใหญ่ 1.5 ลิตรก็ราคาไม่เกิน 1.8 ฟรังก์สวิส หรือประมาน 50 บาท ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับบ้านเราแล้วก็แพงกว่าประมาณ 5 เท่า แต่รายได้ต่อหัวของสวิตเซอร์แลนด์นั้น อยู่ที่ประมาน 170,000 บาท / เดือน (จากสถิติเมื่อปี 2017) ของไทย 17,000 บาท / เดือน (จากสถิติเมื่อปี 2017) สรุปง่ายๆ คือรายได้ต่อหัวของชาวสวิส มากกว่าไทยประมาน 10 เท่า แต่ซื้อน้ำเปล่าแค่ 5 เท่าของคนไทย คราวนี้เราก็พอจะรู้นะครับว่าคนไทยนั้นซื้อน้ำเปล่าแพงหรือถูก

ข้อควรระวังเวลาหยิบน้ำดื่มจากซุปเปอร์มาเก็ต หรือร้านสะดวกซื้อ อย่าลืมสังเกตว่าเป็นน้ำแร่ น้ำดื่มปกติที่คนไทยคุ้นเคย (Mineral Water) หรือจะเป็นน้ำเปล่าอัดแก๊ส (Sparking Water) ที่คล้ายๆกับโซดาในบ้านเรา ไม่งั้นท่านอาจจะระคายคอ แทบจะกระดกไม่ได้เลยทีเดียวเชียว (555)

ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก หนังสือสวิตเซอร์แลนด์ เล่มเดียวเที่ยวได้จริง



Happylongway ขอนำเสนออีกสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่ง ในการทัวร์สวิตเซอร์แลนด์ สถานที่ซึ่งได้รับสมญานามว่าเป็น ไข่มุกของริเวียร่าแห่งสวิส และมีชื่อในภาษาฝรั่งเศสว่าทะเลสาบเลมอง (Lac Léman) นั่นคือ "ทะเลสาบเจนีวา (Lake Geneva)"  นั่นเอง ทะเลสาบเจนีวาตั้งอยู่สุดปลายทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศสวิสเซอร์แลนด์ มีพื้นที่ติดประเทศฝรั่งเศสและอยู่ริมทะเลสาบเจนีวา มีประชากรประมาณ 2 ล้านคนจากหลากหลายเชื้อชาติ  ทะเลสาบเจนีวามีอายุมากกว่า 10,000 แล้ว เกิดจากการละลายของน้ำแข็ง พายุ และที่ราบจากภูเขา มีลักษณะของทะเลสาบจะคล้ายรูปพระจันทร์เสี้ยว มีพื้นที่ 582 ตารางกิโลเมตร มีความยาว 73 กิโลเมตร ความกว้าง 14 กิโลเมตร เป็นทะเลสสาบที่ใหญ่ที่สุดในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และเป็นแหล่งน้ำจืดที่ใหญ่เป็นอันดับสองของทวีปยุโรปกลางรองจากทะเลสาบบาลาต้นในประเทศฮังการี เป็นที่ตั้งของเมืองสำคัญคือเมืองเจนีวาในประเทศสวิตเซอร์แลนด์

กิจกรรมในการท่องเที่ยวบริเวณทะเลสาบมีมากมาย ทั้งล่องเรือ ช้อปปิ้ง ชมความงามของธรรมชาติ และนอกจากทะเลสาบเจนีวาจะเป็นจุดแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของเมืองเจนีวาแล้ว  บริเวณโดยรอบทะเสสาบก็ยังเต็มไปด้วยสวนสาธารณะและต้นไม้ ดอกไม้ที่งดงาม และยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่ห้ามพลากเช่นน้ำพุจรวดเจ็ทโด (Jet d-Eau) ที่มีน้ำพุพุ่งสูงถึง 400 ฟุต  ด้านเหนือทะเลสาบเจนีวานอกจากเต็มไปด้วยพื้นที่สีเขียวแล้ว ยังมีพื้นที่เขตเมืองเก่าที่มีตรอกซอกซอยที่มีความน่าสนใจทางประวัติศาสตร์ รวมถึงวิหารเซนต์ปิแอร์ (St Peter's Cathedral) ซึ่งมีอายุมากกว่า 850 ปี เขตเมืองเก่าตั้งอยู่ทางตอนใต้ของแม่น้ำโรห์นกั้นกลางระหว่าง Jardin Anglais และ Parc des Bastionsในเมืองมีพิพิธภัณฑ์และหอศิลป์ต่างๆ ให้เที่ยวชม อาทิ อาคารสหประชาชาติและพิพิธภัณฑ์กาชาด สำหรับนักช้อปปิ้งที่มองหาเครื่องประดับอัญมณี นาฬิกาข้อมือและเสื้อผ้าจากดีไซเนอร์ชื่อดังจะไม่ผิดหวังเช่นเดียวกัน และที่นี่ยังมีร้านอาหารชื่อดังมากมาย รวมทั้งมีโรงแรมอันหรูหรา มีดีไซน์ที่น่าประทับใจ ที่นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง

เมืองเจนีวา เป็นเมืองที่มีประชากรมากเป็นอันดับสองของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ (รองจากซูริก) ตั้งอยู่บริเวณที่แม่น้ำโรนไหลออกสู่ทะเลสาบเจนีวา เมืองเจนีวาได้รับการยกย่องว่าเป็นเมืองนานาชาติ (Global City) เนื่องจากเป็นที่ตั้งขององค์กรระหว่างชาติที่สำคัญหลายองค์กร เจนีวาเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนเทือกเขาแอลป์ ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และยังเป็นเมืองคมนาคมหลักของทวีปยุโรปอีกด้วย



เมืองฮัลล์ทัทท์ (Hallstatt)ทะเลสาบที่สวยที่สุดในโลก

เมืองฮัลล์ทัทท์ (Hallstatt)เมืองที่ได้ชื่อว่า เมืองริมทะเลสาบ ที่สวยที่สุดในโลก และยังเป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ ออสเตรีย (Austria) โดยเมืองฮัลล์ทัทท์นั้น อยู่ในรัฐอัปเปอร์ออสเตรีย (Upper Austria) ซึ่งเป็น 1 ใน 9 รัฐ ของประเทศออสเตรียนั่นเองฮัลล์ทัทท์ เป็นเมืองท่องเที่ยวเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของทะเลสาบฮัลล์ทัทท์ (Lake Hallstatt) หรือ ฮัลล์ชตัทท์เทอร์ ซี (Hallstatter See) ทะเลสาบในเขตภูมิภาคซาลซ์คัมเมอร์กุท (Salzkammergut) ภูมิภาคทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญมากแห่งหนึ่งของประเทศออสเตรีย สำหรับความโดดเด่นของเมืองนั้น สิ่งแรกที่นักท่องเที่ยวจะสัมผัสได้ก็คือความเป็นเมืองชนบทเล็กๆ ที่มีอากาศแสนบริสุทธิ์ เหมาะอย่างยิ่งที่จะเดินทางมาพักผ่อนตากอากาศ และชมทัศนียภาพสวยๆ ของตัวเมืองที่ถูกโอบล้มไปด้วยทะเลสาบและเทือกเขาสูงตระหง่าน

นอกจากนี้แล้ว นักท่องเที่ยวที่มาเยือนยังสามารถเดินทางไปชมเหมืองเกลือโบราณที่มีอายุมากกว่า 7,000 ปี โดยการขึ้นกระเช้าไฟฟ้า เพื่อไปยังเหมืองเกลือที่ตั้งอยู่บนภูเขาที่มีความสูงกว่าระดับน้ำทะเล ประมาณ 838 เมตร หรือใช้เวลาในการเดินทางเพียงแค่ 3 นาทีเท่านั้น สำหรับการเที่ยวชมเหมืองเกลือนั้น นักท่องเที่ยวสามารถเที่ยวชมได้ในช่วงระหว่างเดือนเมษายน – เดือนตุลาคมของทุกปีๆ

สุดท้ายขอแนะนำให้คุณไปพิสูจน์ความกล้ากันแบบเบาๆ ที่ ไบน์เฮาส์ (Beinhaus) หรือ โบน์เฮาส์ (Bone House) เป็นอาคารขนาดเล็กที่แยกออกจากคริสตจักร ซึ่งภายในเป็นที่เก็บหัวกะโหลกที่มีมากกว่า 1,200 กะโหลก โดยแต่ละกะโหลกจะมีชื่อของเจ้าของสลักติดไว้อย่างเป็นระเบียบ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นของคนที่เสียชีวิตในศตวรรษที่ 18 – 19 ปัจุุบันเมืองฮัลล์ทัทท์ และเขตภูมิภาคซาลซ์คัมเมอร์กุทได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในปี 1997 และเป้นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ใฝ่ฝันออยากมาเยือนสักครั้งหนึ่งในชีวิตอีกด้วย



HappyLongWay ขอแนะนำอีกสถานที่อีกที่หนึ่งในการทัวร์สวิตเซอร์แลน์ และทัวร์ยุโรป นั่นคือน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์และยุโรป "น้ำตกไรน์ (Rheinfall)"

น้ำตกไรน์ (Rheinfall) เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่สุดของทวีปยุโรป ตั้งอยู่บนแม่น้ำไรน์บริเวณทางเหนือของนครซือริช บริเวณพรมแดนระหว่างรัฐชัฟเฮาเซินกับรัฐซือริชในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ น้ำตกแห่งนี้มีความกว้าง 150 เมตรและสูง 23 เมตร โดยมีสถิติความแรงของกระแสน้ำไหลที่น่าทึ่งดังนี้

- ในฤดูหนาวมีกระแสน้ำไหล 250 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
- ในฤดูร้อนมีกระแสน้ำไหล 700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
- เมื่อปีค.ศ. 1965 กระแสน้ำมีกำลังแรงสูงสุดถึง 1,250 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
- เมื่อปีค.ศ. 1921 กระแสน้ำมีกำลังต่ำสุดเพียง 95 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที

**หมายเหตุ 1 ลูกบาศก์เมตร มีค่าเท่ากับ 1,000 ลิตร

น้ำตกไรน์ เป็นน้ำตกที่มีทัศนียภาพที่งดงามมาก เป็นแรงบันดาลใจให้ วิลเลียม เวิร์ดสเวิร์ท แต่งกวีถึงความงามอันเป็นอมตะของน้ำตกแห่งนี้ในปี 1821  และน้ำตกไรน์แห่งนี้นั้นปลาทั่วไปไม่สามารถว่ายขึ้นน้ำตกแห่งนี้ได้ มีเพียงปลาไหล (eels) เท่านั้นที่มีเทคนิคเฉพาะตัวในการไต่ขึ้นน้ำตก น้ำตกแห่งนี้ถือกำเนิดขึ้นในยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้ายเมื่อราว 14,000 ถึง 17,000 ปีที่แล้ว ปัจจุบันถือเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีผู้เยี่ยมชมมากที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์

เราสามารถนั่งเรือไปยังเกาะกลางน้ำตกซึ่งเป็นจุดชมวิวน้ำตกไรน์อย่างใกล้ชิด บนเกาะมีธงชาติสวิตเซอร์แลนด์ปักไว้เป็นสัญลักษณ์ โดยไปขึ้นเรือที่ Schlössli Wörth ซึ่งอยู่ไม่ไกล มีเรือให้บริการทุกๆ 10 นาที ในเดือน เม.ย. และต.ค. ตั้งแต่ 11.00-17.00 น., พ.ค. และก.ย. 10.00-18.00 น. และมิ.ย.-ส.ค. 09.30-18.30 น. ตั๋วแบบ Felsenfahrt (Panorama-Sicht) ไป-กลับ อยู่ที่จุดชมวิวได้ 20 นาที หรือจะนั่งเรือข้ามแม่น้ำไรน์ไปที่ Schloss Laufen ปราสาทในเขตการปกครอง Laufen-Uhwiesen

โดยบริเวณ น้ำตกไรน์  ก็มีร้านอาหาร ร้านกาแฟ แหล่งช้อปปิ้ง ลานน้ำพุต่างๆ ให้เดินเล่นกันอีกด้วย



เอกสารที่จำเป็นสำหรับยื่นคำร้องขอวีซ่าประเภทท่องเที่ยว

ปัจจุบัน สำหรับผู้ที่ต้องการจะเดินทางไปประเทศสวิตเซอร์แลนด์เพื่อท่องเที่ยวและประสงค์จะพำนักไม่เกิน 90 วัน ผู้ยื่นจะต้องเตรียมเอกสารการจองโรงแรมเพื่อเป็นหลักฐานแสดงที่พักอาศัยตลอดการเดินทาง หากการเดินทางของท่านเป็นไปตามจุดประสงค์ดังกล่าว ท่านควรที่จะยื่นคำร้องขอวีซ่าที่ศูนย์ TLScontact

รายการเอกสารที่จำเป็น

เอกสารใดก็ตามที่เป็นภาษาไทยจะต้องได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาประจำชาติสวิสภาษาใดภาษาหนึ่งโดยศูนย์รับแปลภาษาที่ได้รับการรับรองจากสถานทูต

ค่าธรรมเนียมวีซ่า

  1. วีซ่าเชงเก้นประเภทพำนักระยะสั้น ไม่เกิน 90 วัน ค่าธรรมเนียมวีซ่า 60.00 ยูโร หรือ 2,300 บาท
  2. วีซ่าเชงเก้นประเภทพำนักระยะสั้น เด็กอายุระหว่าง 6 ขวบ ขึ้นไป แต่ไม่เกิน 12 ขวบ ค่าธรรมเนียมวีซ่า  35.00 ยูโร หรือ  1,400 บาท
  3. วีซ่าเชงเก้นประเภทพำนักระยะสั้น เด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี ไม่เสียค่าธรรมเนียมวีซ่า
  4. วีซ่าพำนักระยะยาว มากกว่า 90 วัน ค่าธรรมเนียมวีซ่า 60.00 ยูโร หรือ 2,300 บาท
  5. วีซ่าพำนักระยะยาว เด็กอายุระหว่าง 6 ขวบ ขึ้นไป แต่ไม่เกิน 12 ขวบ ค่าธรรมเนียมวีซ่า 35.00 ยูโร หรือ 1,400 บาท
  6. วีซ่าพำนักระยะยาว เด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี ไม่เสียค่าธรรมเนียมวีซ่า

* ค่าธรรมเนียมวีซ่าชำระเป็นเงินบาทเท่านั้น ทั้งนี้ค่าธรรมเนียมอาจมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับความผันผวนของสกุลเงิน

ค่าธรรมเนียมวีซ่าได้กำหนดเป็นสกุลเงินยูโร แต่รับชำระเงินเป็นเงินสกุลบาทเท่านั้น อัตราแลกเปลี่ยนขึ้นอยู่กับสถานกงสุลเป็นผู้กำหนด ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงตามความผันผวนของสกุลเงินในตลาดโลก ใบเสร็จการชำระค่าธรรมเนียมการยื่นขอวีซ่าจะระบุเป็นสกุลเงินยูโรเท่านั้น

ค่าบริการการดำเนินการสำหรับวีซ่าทุกประเภทคือ 863 บาท ซึ่งค่าบริการดังกล่าว เป็นการตกลงระหว่างสถานทูตสวิตเซอร์แลนด์ประจำประเทศไทย กับศูนย์ TLScontact สำหรับเป็นค่าดำเนินการและให้บริการต่างๆ (เช่น การสมัครวีซ่า การดำเนินงานด้านเอกสาร การเก็บข้อมูล การทำการการนัดหมาย)

  1. ค่าบริการ 863 บาท
  2. ค่าบริการพรีเมี่ยม 1,600 บาท
  3. บริการไปรษณีย์ (EMS) 180 บาท
  4. รูปถ่าย 4 ใบ (ตามมาตรฐานของICAO) 250 บาท
  5. บริการถ่ายสำเนาเอกสาร 8 บาท

เอกสารทั่วไปสำหรับยื่นคำร้องขอวีซ่า

ใบสมัครขอวีซ่า, ฉบับจริง

  1. ต้องมีการลงวันที่และลายเซ็นของผู้สมัครให้ชัดเจนโดยตัวผู้สมัครเอง การกรอกใบสมัครสามารถทำได้ที่ลิ้งค์ดังต่อไปนี้ แบบฟอร์มในกรณีของผู้เยาว์ ใบสมัครยื่นขอวีซ่าและหน้าข้อมูลเพิ่มเติมนั้นต้องเซ็นชื่อรับรองโดยผู้ปกครองทั้งสองท่าน.
  2. ข้อมูลที่ถูกระบุลงบนแบบฟอร์มใบสมัครวีซ่าเชงเก้น  เช่น ที่อยู่,เบอร์โทรศัพท์  จำเป็นที่จะต้องเป็นข้อมูลที่ตรงกันกับ   ข้อมูลส่วนตัวของผู้สมัคร หากไม่เป็นไปตามข้อกำหนดดังกล่าว คำร้องขอวีซ่าจะถูกปฏิเสธ

รูปถ่ายสีประจำตัวขนาด 3.5 ซม. X 4 ซม. จำนวน 2 รูป

  1. พื้นหลังสีขาว
  2. ขนาด 3.5 ซม 4 ซม.
  3. ถ่ายจากด้านหน้าโดยไม่สวมใส่สิ่งต่างๆบนใบหน้าหรือศีรษะ
  4. ภาพถ่ายล่าสุดที่เหมือนตัวจริง (ไม่เกิน 6 เดือน)
  5. ใบหูและคิ้วจะต้องปรากฏบนภาพถ่าย

         ** ภาพถ่ายจะต้องครอบคลุมถึงศีรษะ และด้านบนของหัวไหล่ โดยต้องเห็นใบหน้า 70-80% ของภาพอย่างชัดเจน

หนังสือเดินทาง, ฉบับจริง

  1. หนังสือเดินทางต้องมีอายุเหลือไม่ต่ำกว่าสามเดือนนับจากวันที่สิ้นสุดการเดินทางตามกำหนดการในประเทศสวิตเซอร์แลนด์หรือประเทศสมาชิกในเขตเชงเก้น ประเทศอื่น

หนังสือเดินทาง, สำเนา

  1. สำเนาหน้าหนังสือเดินทางหน้าที่แสดงข้อมูลส่วนบุคคลและหน้าที่มีตราประทับการเดินทางเข้าออกประเทศหนึ่งสำเนา

ใบเปลี่ยนชื่อ

  1. ใบเปลี่ยนชื่อ หรือนามสกุล ของผู้สมัครวีซ่าและของผู้ปกครองของผู้สมัคร, ฉบับจริง ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลง

ประกันภัยการเดินทาง: ประกันภัยการเดินทางและประกันอุบัติเหตุที่ครอบคลุมในประเทศเขตเชงเก้น

  1. บริษัทประกันต้องได้รับการจดทะเบียนจัดตั้งหรือมีสาขาในกลุ่มประเทศเชงเก้น
  2. เงื่อนไขการคุ้มครองประกันภัยการเดินทางจะต้องครอบคลุมถึงการการช่วยเหลือในกรณีฉุกเฉิน, ค่าใช้จ่ายในการส่งตัวผู้ป่วยกลับสู่ภูมิลำเนาในกรณีที่ต้องรับการรักษาพยาบาล, ครอบคลุมค่าใช้จ่ายสำหรับการช่วยเหลือทางการแพทย์ฉุกเฉิน หรือการเข้ารักษาพยาบาลในแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาล ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงเฉียบพลัน
  3. วงเงินประกันภัยขั้นต่ำคือ 30,000 ยูโร หรือ 1,500,000 บาท และสามารถใช้ได้ในกลุ่มประเทศเชงเก้นทุกประเทศ
  4. รายชื่อบริษัทประกันภัยในประเทศไทยที่ได้รับการรับรอง (ตรวจสอบรายชื่อบริษัทประกันภัยที่ได้รับการรับรอง)ข้อสังเกต : โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่า ท่านสามารถเรียกคืนเบี้ยประกันภัยกับบริษัทประกันได้หากวีซ่าไม่ผ่านการอนุมัติ

เอกสารการจองตั๋วเครื่องบินแบบไป - กลับ จาก/ถึง ประเทศไทย ที่ยืนยันเรียบร้อยแล้ว

  1. โปรดทราบ: กรุณาอย่าซื้อตั๋วเครื่องบินก่อนที่จะได้รับการอนุมัติวีซ่า ทางสถานทูตจะไม่รับผิดชอบในค่าเสียหายหรือค่าใช้จ่ายใดๆในการจองหรือเปลี่ยน แปลงตั๋วเครื่องบิน.

สำเนาการจองโรงแรมสำหรับตลอดการพำนักในเขตเชงเก้นที่ยืนยันเรียบร้อยแล้ว และ/หรือ จดหมายเชิญส่วนตัวจากบุคคลที่พำนักอาศัยอยู่ในเขตเชงเก้นที่มีลายมือชื่อ รับรอง

  1. จะต้องมีการระบุชื่อผู้สมัครทุกท่านลงบนเอกสารการจองโรงแรม

รายละเอียดการเดินทาง

  1. รายละเอียดการเดินทางที่เตรียมไว้สำหรับการเดินทางในครั้งนี้ หากมีการเดินทางเข้าออกหลายประเทศ

Read More



การบินไทยรับรางวัลสายการบินยอดเยี่ยมอันดับ 1 จากสกายแทรกซ์ 3 รางวัล

นางอุษณีย์ แสงสิงแก้ว รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) รับมอบรางวัลสายการบินยอดเยี่ยมของโลกจากสกายแทรกซ์ ประจำปี 2018 โดยการบินไทยได้รับ 3 รางวัล ได้แก่ รางวัลอันดับ 1 สายการบินที่ให้บริการชั้นประหยัดยอดเยี่ยมของโลก (World’s Best Economy Class) รางวัลอันดับ 1 สายการบินที่ให้บริการสปาเลาจน์ยอดเยี่ยมของโลก (World’s Best Airline Lounge Spa) และรางวัลอันดับ 1 สายการบินที่ให้บริการอาหารสำหรับชั้นประหยัดยอดเยี่ยม(Best Economy Class Onboard Catering) โดยมีนางภัครา เรืองสิรเดโช รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่หน่วยธุรกิจบริการการบิน นายวิวัฒน์ ปิยะวิโรจน์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่สายการพาณิชย์ และนายเฉลิมพล แก้วชินพร ผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายบริการบนเครื่องบิน บริษัท การบินไทยฯ ร่วมรับมอบรางวัล ณ โรงแรม เดอะ แลงแฮม ลอนดอน สหราชอาณาจักร

นางอุษณีย์ แสงสิงแก้ว รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทยฯ เปิดเผยว่า เป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งที่ในปี 2561 การบินไทยได้สร้างชื่อเสียงอย่างต่อเนื่องในฐานะสายการบินแห่งชาติ ในการได้รับรางวัลยอดเยี่ยมอันดับ 1 จากสกายแทรกซ์ถึง 3 รางวัล ได้แก่ รางวัลอันดับ 1 สายการบินที่ให้บริการชั้นประหยัดยอดเยี่ยมของโลก โดยการบินไทยได้รับรางวัลนี้ติดต่อกันเป็นปีที่ 2 รางวัลอันดับ 1 สายการบินที่ให้บริการสปาเลาจน์ยอดเยี่ยมของโลก โดยการบินไทยได้รับรางวัลนี้ติดต่อกันเป็นปีที่ 4 ซึ่งสปาเลาจน์ของการบินไทย ให้บริการแก่ผู้โดยสารชั้นหนึ่งและชั้นธุรกิจในเส้นทางบินระหว่างประเทศ ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และอีกรางวัล คือ รางวัลอันดับ 1 สายการบินที่ให้บริการอาหารสำหรับชั้นประหยัดยอดเยี่ยม โดยการบินไทยได้รับรางวัลนี้ติดต่อกันเป็นปีที่ 2 นอกจากนี้ การบินไทยยังได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 10 สายการบินที่ดีที่สุดในโลก (World's Best Airline 2018) รวมทั้งรางวัลพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินที่ดีที่สุดในประเทศไทย (Best Cabin Crew in Thailand) และรางวัลสายการบินที่ให้บริการชั้นประหยัดที่ดีที่สุดในภูมิภาคเอเชีย (Best Economy Class in Asia) ซึ่งรางวัลเหล่านี้ถือเป็นกำลังใจแก่พนักงานการบินไทย และเป็นความภาคภูมิใจของการบินไทยที่แสดงให้เห็นถึงมาตรฐานการบริการในระดับพรีเมียม และมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล ทั้งนี้ การบินไทยยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาคุณภาพให้ดียิ่งขึ้นต่อไปในทุกด้าน เพื่อให้ผู้โดยสารได้รับความสะดวกสบายและสร้างความพึงพอใจสูงสุดตลอดไป

อนึ่ง สกายแทรกซ์ เริ่มจัดตั้งขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 เพื่อทำการสำรวจความคิดเห็นและความพึงพอใจจากนักเดินทางทั่วโลก โดยครั้งนี้ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นระหว่างเดือนสิงหาคม 2560 ถึงเดือนพฤษภาคม 2561 ของนักเดินทางกว่า 20.36 ล้านคน จากสายการบินกว่า 335 สายการบิน และนำมารวบรวมประเมินผลมาตรฐานผลิตภัณฑ์และการบริการของสายการบินต่างๆ ที่มีความเป็นเลิศในทุกๆ ด้าน เริ่มตั้งแต่ก้าวเข้าสู่สนามบินจนถึงการบริการบนเครื่องบิน อาทิ การให้บริการเช็คอิน ความสะดวกสบายของที่นั่งและภายในห้องโดยสาร การให้บริการอาหาร และเครื่องดื่ม การให้บริการของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน และระบบสาระบันเทิงบนเครื่องบิน เป็นต้น นอกจากนี้ สกายแทรกซ์ได้รับการกล่าวขวัญว่าเป็น “รางวัลออสการ์ของอุตสาหกรรมการบิน”

ที่มา : การบินไทย



ปราสาทนอยชวานชไตน์ ต้นแบบปราสาทเทพนิยายเจ้าหญิงในดิสนีย์แลนด์

ปราสาทนอยชวานชไตน์ (Neuschwanstein Castle) เป็นปราสาทตั้งอยู่ในเทือกเขาแอลป์แถบแคว้นบาวาเรีย ประเทศเยอรมนี สร้างในสมัยพระเจ้าลุดวิกที่ 2 แห่งบาวาเรีย ในช่วง ค.ศ. 1845-86 ถือเป็นเป็น?ปราสาทที่งดงามมากที่สุดอีกแห่งหนึ่งของโลก และเป็นต้นแบบของการสร้างปราสาทเทพนิยายเจ้าหญิงนิทราที่สวนสนุกดิสนีย์แลนด์และโตเกียวดิสนีย์แลนด์รวมไปถึงที่แดนเนรมิตของไทยเราอีกด้วย

ปราสาทนอยชวานชไตน์ มีความโดดเด่นในรูปแบบและที่ตั้ง ที่สร้างจินตนาการได้มากกว่าปราสาทอื่นใดเนื่องจากตัวปราสาทมีที่ตั้งอันน่าทึ่งบนหินผาขนาดใหญ่ยักษ์สูงกว่า 200 เมตร เหนือออบแก่งของแม่น้ำพอลลัท นอกจากนี้ยังมีแวดล้อมด้วยธรรมชาติและทิวทัศน์ของป่าเขาลำเนาไพรที่สวยงามและมีสีสันแปรเปลี่ยนแตกต่างกันไปในแต่ละฤดูกาล เมื่อมองจากสะพานมาเรียนที่ทอดข้ามสายน้ำเชี่ยวกรากในลำธารเบื้องล่าง

พระเจ้าลุดวิกที่ 2 กษัตริย์หนุ่มแห่งแคว้นบาวาเรีย ที่มีฉายาว่า ราชันหงส์ขาว มีพระประสงค์ให้จัดสร้างเพื่อเป็นที่ประทับอย่างสันโดษห่างจากผู้คนและเพื่ออุทิศให้แก่กวี ริชาร์ด วากเนอร์ ผู้ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างให้เป็นไปตามบทประพันธ์เรื่อง อัศวินหงษ์ (Swan Knight Lohengrin) แรงบันดาลใจจากความหลงใหล ในการชมอุปรากรและบทละคร ที่พระองค์ทรงโปรด จึงทำให้เป็นปราสาทที่วิจิตรอลังการ ภายในได้รับการตกแต่ง ตามฉากของละครตอนต่างๆ ใครที่ชื่นชอบภาพวาดฝาผนังชิ้นเอก ของริชาร์ด วากเนอร์ งานประติมากร และช่างแกะสลักไม้ฝีมือเยี่ยม ที่นี่น่าจะเป็นอีกแห่งหนึ่งที่ทำให้คุณเพลิดเพลิน แถมยังมีห้องบัลลังก์ ห้องบรรทม ห้องทรงดนตรี โอเปร่า ท้องพระโรง และห้องครัวที่ทันสมัยที่สุดในยุคนั้น เอาไว้ให้ชมกันด้วย?ดังนั้นปราสาทแห่งนี้จึงได้รับการตกแต่งตามเรื่องราวในบทประพันธ์ดังกล่าว

ปราสาทแห่งนี้ สถาปัตยกรรม สถาปัตยกรรมฟื้นฟูกอธิคผสมยุคกลาง ได้รับการออกแบบโดย?คริสเตียน แยงค์ (Christian Jank) ซึ่งเป็นนักออกแบบทางการละครมากกว่าที่จะเป็นสถาปนิก มันถูกสร้างขึ้นด้วยเงินทุนมหาศาลแต่ทว่าปราสาทหลังนี้เพิ่งได้รับขนานนามว่า “นอยชวานสไตน์” ก็ต่อเมื่อหลังจากที่กษัตริย์ลุดวิกที่ 2 ได้เสด็จสวรรคตแล้วในปี 1886

การสร้างปราสาทแห่งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากในสมัยนั้นปราศจากเทคโนโลยีและเครื่องมือก่อสร้างแบบพิเศษใดๆ วัสดุอุปกรณ์ที่นำมาบรรจงสร้างสรรค์ล้วนมีน้ำหนักและปริมาณมากมายมหาศาลและต้องลำเลียงเคลื่อนย้ายไปสู่สถานที่ก่อสร้างปราสาทบนยอดเขาอันไกลโพ้น

วัสดุก่อสร้างหนักๆ เช่น หินอ่อน 465 ตัน หินทราย 4,550 ตัน อิฐ 400,000 ก้อน ทราย 3,600 ลูกบาศก์เมตร ซีเมนต์ 600 ตัน และสิ่งสำคัญคือการใช้ไม้เพื่อแกะสลักทั้งสิ้น 2,050 ลูกบาศก์เมตร ต้องใช้กำลังสติปัญญา แรงงานจากช่างผู้ชำนาญ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องมากมายโดยใช้เวลาทั้งสิ้นไม่น้อยกว่า 17 ปี

เมื่อตอนที่เริ่มต้นก่อสร้างปราสาทนี้ กษัตริย์ลุกวิกที่ 2 ทรงมีพระชนมายุเพียง 23 พรรษา แต่ในวันที่ 12 มิถุนายน ค.ศ. 1886 เป็นวันสุดท้ายที่กษัตริย์ลุกวิก ประทับที่ปราสาทนี้ เนื่องด้วยฝ่ายคณะรัฐบาลในขณะนั้น ได้ประกาศว่า พระองค์วิกลจริตไม่อาจสามารถบริหารราชการแผ่นดินได้ จึงได้ปลดออกจากราชบัลลังก์ ทำให้พระองค์ต้องแปรพระราชฐานออกจากปราสาทนอยชวานสไตน์ ซึ่งเป็นสถานที่ที่โปรดปรานไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ยิ่ง และได้ย้ายไปประทับที่ ปราสาทแบร์ก (Berg) ณ ทะเลสาบสตานแบร์ก (Starnbergersee) จนกระทั่ง วันที่ 13 มิถุนายน 1886 มีคนพบพระศพของพระองค์ในทะเลสาบ ซึ่งเป็นการสวรรคตที่เป็นปริศนามาจนทุกวันนี้ ซึ่งเป็นเรื่องน่าเศร้าใจยิ่งนัก ที่บั้นปลายแห่งพระชนม์ชีพของพระองค์ ผู้ทรงเป็นเจ้าผู้ครอบครองปราสาทที่แสนวิจิตรงดงาม จะมีจุดจบที่น่าขมขื่นเช่นนี้

ในบรรดากษัตริย์ของยุโรปทั้งหลาย ในช่วงหนึ่งร้อยปีล่วงมานี้ ชื่อของกษัตริย์ ลุดวิกที่ 2 แห่งแคว้นบาวาเรีย ดูจะเป็นชื่อที่เราคุ้นหูมากกว่าพระองค์อื่นๆ พระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติ เมื่อยังทรงมีพระชนมพรรษาได้เพียง 18 เท่านั้น

ในปี ค.ศ.1864 ทรงได้ทุ่มเทพระวรกายและพระปรีชาสามารถทั้งมวลที่มีอยู่ ปกครองบริหารราชการแผ่นดิน แต่เนื่องจากเอกลักษณ์อันเป็นปัจเจกของพระองค์ ที่ทรงมีพระบุคลิกภาพที่รักความสงบสันโดษ พระองค์จึงทรงค้นหาความผ่อนคลาย หลังจากที่เหนื่อยล้าจากพระราชกรณียกิจทั้งมวล ทำให้ทรงเบื่อหน่ายและผละจากสังคมแห่งความเกษมสันต์รื่นรมย์ ที่แวดล้อมด้วยเสนามหาอำมาตย์ สนมกำนัลและข้าราชบริพาร แม้นว่าพระองค์จะทรงเคยได้รับการยกย่องเชิดชูพระเกียรติยศ ให้เป็นพระมหากษัตริย์ที่มีความสำคัญ ในด้านการปกครองแห่งยุโรปมากพระองค์หนึ่ง

ยิ่งกว่านั้น พระองค์ทรงมีพระอัจฉริยภาพด้านดนตรีและการละคร เป็นผู้มีความหลงใหลใฝ่ฝัน ที่จะสร้างสรรค์ปราสาทราชวังที่ประทับ อันสมบูรณ์แบบที่สุดขึ้นมา โดยในเขตแคว้นอัลไพน์ พระองค์ทรงสร้าง ปราสาทนอยชวานสไตน์ ส่วนความคลั่งไคล้ของ พระองค์ต่อโลกยุค บูร์บองแห่งฝรั่งเศส ก็ได้แสดงออกมาเป็น พระราชวังลินเดอร์โฮฟ (Linderhof ) และ พระราชวังแฮเรนคีมเซ (Herrenchiemsee) รวมทั้งหมดเป็นสามแห่งด้วยกัน

เมื่อว่างจากงานราชการแผ่นดิน พระองค์จะเสาะแสวงหาความเป็นส่วนพระองค์ ด้วยการเสด็จไปแปรพระราชฐาน ณ ปราสาทแฮเรนคีมเซ (ซึ่งสร้างขึ้นเลียนแบบ พระราชวังแวร์ซายส์ของฝรั่งเศส) และปราสาท ลินเดอร์ฮอฟ (ซึ่งสร้างขึ้นตามแบบของ พระตำหนักตรีอานอง ของฝรั่งเศสเช่นกัน)

ปัจจุบันปราสาททั้งสามแห่ง ยังคงอวดโฉมเป็นสถานที่ ที่ยังคงไม่ร้างลาจากการแวะเวียนเยี่ยมชมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก



การแต่งกายที่เหมาะสม กับสภาพอากาศสุดหนาว ในเกาหลีใต้

ขั้นตอนสำคัญที่สุดในการเที่ยวต่างประเทศในฤดูหนาวที่อุณหภูมิต่ำกว่า 5 องศา หรือ ติดลบไม่ว่าจะประเทศไหนๆ ทั้งนั้น คือ

เตรียมเสื้อผ้าให้พร้อม

เพราะหากคุณประมาท เตรียมตัวไปไม่ดี อาจทำให้ trip นั้นเซ็งไปได้เลย เสียค่าเครื่องบิน ค่าทัวร์ไปแสนแพงแต่ต้องหนาวสั่นตลอดทริป หรือต้องไปเสียเงินซื้อเสื้อเพิ่มที่เมืองนอกและอาจถึงขั้นไม่สบายได้

STEP การใส่เสื้อผ้าที่ต้องเผชิญกับอากาศสุดหนาว

  1. ชั้นในสุด กางเกงลองจอน เสื้อลองจอน หรือเสื้อทับ เสื้อบาง ที่เอาไว้ใส่เป็นชั้นเบื้องต้น
  2. ชั้นสอง ด้านบนอาจเป็นเสื้อยืด ล่างเป็นกางเกงยีนส์ หรือลูกฟูก
  3. ชั้นสาม sweater ทำจาก wool หรือเสื้อแขนยาว
  4. สุดท้ายคือ เสื้อกันหนาวกันลมแบบมี hood เพราะจะเก็บกักความร้อนจากตัวไว้ได้ดีกว่า ทำให้หนาวน้อยลง ปิดหูได้ด้วย
  5. ถุงมือ ผ้าพันคอ หมวก ถุงเท้าหนา ๆ // ที่ปิดหู
  6. โค๊ตขนเป็ด ถ้ามีจะดีมาก ไหมพรมธรรมดาเอาไม่อยู่ ตัวจะพองเปล่าๆ
  7. แว่นตากันลม

เสื้อทับ
เป็นสิ่งจำเป็นมาก เพราะใส่แนบร่างกายช่วยรักษาอุณหภูมิให้อบอุ่น ไม่ว่าจะแบบสายเดี่ยว แขนกุด ผ้าแบบไหนใช้ได้หมด แต่ขอให้รัดรูปหรือแนบเนื้อ

ลองจอน
คือ ชุดช้นในกันหนาว มีลักษณะแนบเนื้อ กางเกงเป็นทรงเดียวกับเลคกิ้ง ผ้าจะหนากันหนาวได้ ส่วนใหญ่จะเป็นผ้าสำลี ผ้าวูล ผ้าไหมพรม ส่วนใหญ่จะใส่ไว้ใต้กางเกงยีน สำหรับกันหนาว นอกจากลองจอน อาจใส่เสื้อรัดรูปเต้นแอโรบิกด้วยก็ได้ อุ่นดีเหมือนกัน แนะนำว่าควรมีเสื้อผ้าชั้นในสุด ให้เป็นชุดที่พอดีตัว (ไม่หลวม) เพื่อกันลม

ข้อความตัดจากกระทู้ต่างๆ จากคำแนะนำคนเคยไป
1. เพิ่งกลับมาเมื่อต้นเดือนธันวาคม ลงจากเครื่องก็จะตายแล้วอุณหภูมิที่เกาหลี (Seoul) แค่ 2 องศาเซลเซียล ใส่วันละ 4 ชั้น ยังเอาไม่อยู่เลยคอนเฟิร์มว่าปีใหม่อยู่ที่ระหว่าง -10 – 0 องศา ขนาดเบียร์ที่ซื้อมาจากซุปเปอร์ วางไว้ที่ระเบียงสองสามนาทีก็เย็นแล้ว

2. เสื้อหนาวกันลมได้ยิ่งดี ลมนี่แหละตัวดี พัดทีสะท้าน เคยเจอ 10นิด ๆ แต่ลมแรงนี่ หนาวกว่า -8 อีกเสื้อกันหนาวหนา ๆ บางทีไม่อุ่น ต้องเป็นวูล หรือขนเป็ด จะอุ่นกว่า ไปสกีไม่แนะนำยีนส์ เพราะพอล้มแล้วมันจะแห้งช้า ควรเลือกผ้าร่ม

3. เนื่องจากสภาพอากาศที่ต่างกันมาก อาจจะส่งผลให้คุณไม่สบายได้ง่าย แพ้อากาศน้ำมูกไหลเยิ้มไปเลยหลายวัน เที่ยวไม่สนุก

4. มกราคม เดือนที่เกาหลีหนาวสุดแล้วต้องดูลมด้วย เคยเจอสิบนิด ๆ แต่ลมแรงนี่ หนาวกว่า -8 อีกเตรียมเสื้อกันหนาวแบบบาง หนาน้อย หนามาก เสื้อยืดหนาๆไว้ใส่ข้างใน ใส่หลายๆชั้น ถุงเท้าต้องหนา ไม่งั้นเดินไม่ออก รองเท้าควรเป็นผ้าใบ เบอร์ใหญ่กว่าที่ใส่ประจำ เพราะจะต้องใส่ถุงเท้าหนาๆ อย่าลืม ลองจอน ผ้าพันคอ ที่ปิดหู ถุงมือ

5. หนาวโคตะระ ไปตอนตุลา คาดไว้ว่าไม่หนาว ยังควานซื้อเสื้อกันหนาวแทบไม่ทัน ตอนไปตอนต้นปี หนาวมากกกก ที่ปิดหูจำเป็นสุดๆ มันช่วยจริงๆ หนาวเหมือนหูไม่อยู่กับตัวถุงมือก็จำเป็น

6. มันหนาวมาก สกีรีสอร์ท -10 อัพ ยิ่งถ้าขึ้นไปบนยอดเขานะ -25 หน้าชาเลย ต้องเตรียมสิ่งเหล่านี้

  1. ลองจอน ถุงน่อง
  2. เสื้ออย่างน้อยแขนยาว 2-3 ชั้น คอเต่า อย่าหวังจะไปสวยเลยค่ะ เราสู้เกาหลีไม่ไหวหรอกเค้าชินกัน
  3. เสื้อโค้ทขนเป็ดตัวยาวเลยนะ สีขาว ดำ เทา อินเทรนด์ที่นู้น
  4. หมวกนะ หรือไม่ที่ปิดหู หนาวหูหลุด ชามาก
  5. ถุงมือ สำคัญมาก
  6. ถุงเท้ายาวปรี๊ด เสริมความอุ่น
  7. ผ้าเช็ดหน้า เพราะหนาวมากแล้วน้ำมูกจะไหลโดยไม่รู้ตัว
  8. ผ้าพันคอ อันนี้ไม่ค่อยจำเป็น ถ้าโค้ทคุณเป็นคอเต่า
  9. ถ้าอยู่ในโซลจะใส่โค้ทบาง ผ้าวูลแข่งกับสาวๆในเมืองก็ได้ ในเมืองมันจะประมาณ -1 ถึง -5 อ่ะค่ะ แต่ไปหลายวันคงชิน

7. ชุดเล่นสกึไปเช่าเอาไม่ต้องซื้อ ค่าเช่าชุด 14000 วอน (400 บาท) มีเสื้อกะกางเกง ไม่มีถุงมือครับ เอาไปเองไม่งั้นก็ต้องซื้อครับ 10000วอน
ค่าเล่นสกี 22000 วอน (600 บาท)มีค่าเล่น ค่าสกี กะ รองเท้า รอบบ่าย เที่ยงถึงสี่โมงครึ่ง ถ้าจะใช้ lift ก็จ่ายเพิ่มอีกครับ
ค่าเช่าอุปกรณ์ต่อคนประมาณ780บาทไม่แพง

8. หิมะตกไม่เท่าไหร่ แต่ลมพัดสิ สุดยอด เราไม่ชอบใส่ลองจอน รำคาญ ก็ใส่กางเกงยีนส์ ตัวเสื้อเสื้อรัดรูป sweaterทับ และใส่โคทยาว ถุงมือ ถุงเท้า 2 ชั้น เพราะสถานที่ที่ไปเขามีฮีทเตอร์ให้ ไม่ค่อยได้เดินถนนโดยใช้เวลาเป็นชั่วโมง

9. หนาวขนาดไหนเมื่อหิมะตก บอกเป็นตัวหนังสือไม่ได้จริงๆ ต้องสัมผัสเอง แต่ขอบอกว่าอุณหภูมิติดลบ ถ้ามีลมล่ะก็สุดยอดเลยเอียมัฟ กับ หมวก ถงุมือ สำคัญมาก หมวกป้องกันลมตีหน้าผากครับ มานทรมานมากๆ

10. รองเท้าดอกยางลึกๆ หิมะเก่าที่พื้นจะลื่นมาก เสื้อผ้าฝ้ายหรือวูลจะดีกว่า อย่าใช้ผ้าใยสังเคราะห์ เพราะยิ่งเย็นเข้าไปใหญ่ สนุกกับหิมะแรกครับ แล้วคุณจะรู้ว่าหนาวเข้ากระดูกเป็นยังไง

11. ไม่ใส่ลองจอน วันแรกที่เท้าแตะเกาหลี ขอบอกว่าชาจนแทบไร้ความรู้สึกเลยค่ะ เสื้อหนาวควรเป็นแบบขนเป็ด ลองจอนสำคัญนะคะ ถุงเท้าหนาหน่อยถ้าต้องไปเดินบนหิมะ แต่ถ้าหูเราอุ่น
ร่างกายก็อุ่นไป

12. รองเท้าห้ามมีรูใดๆ มิฉะนั้น คุณอาจจะเดินไม่ได้ ดังนั้นควรหารองเท้าที่สภาพดีๆ เพิ่งใช้ได้ไม่นาน ทนๆหน่อยไป รองเท้าแตะไม่มีประโยชน์ใดๆ ไม่ควรเอาไป

13. ถ้าขี้หนาว ต้องเสื้อขนเป็ดเท่านั้น ถ้ายังไม่มี ให้ซื้อแบบกันลมเข้าด้วย เพราะถ้าลมไม่เข้าก็จะรู้สึกดีขึ้นเยอะ ถ้าคุณใส่เสื้อผ้าไม่อุ่นพอ คุณจะเที่ยวไม่สนุกเลย เพราะมันหนาวมาก หรือไม่มีใจจะเที่ยว มีแต่ความรู้สึกหนาวตลอดเวลา



HappyLongWay ขอแนะนำ Website ไว้สำหรับตรวจสอบสภาพอากาศทั่วโลก

ปัจจุบันนี้การเดินทางไปต่างประเทศไม่ใช่เรื่องยากเหมือนในอดีตแล้ว ทั้งบริษัททัวร์ที่มีมากมายหลายประเทศ โปรโมชั่นลดกันสุดๆ หรือแม้แต่การเดินทางด้วยตนเองโดยสายการบินต่างๆ ที่ลดกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์กันเลยทีเดียว ทำให้ใครๆก็สามารถไปเที่ยวต่างประเทศกันได้ไม่ยาก

สำหรับการเตรียมตัวเดินทางไปต่างประเทศนั้น สิ่งหนึ่งที่คุณควรรู้ก็คือ "อุณหภูมิ" ของแต่ละประเทศนั้นๆ เพื่อที่จะสะดวกในการแพ็คกระเป๋าของคุณนั่นเอง ซึ่งในอดีตผู้เดินทางมักสอบถามกับผู้รู้หรือผู้มีประสบการณ์ไม่ว่าจะเป็น สภาพภูมิอากาศ เป็นอย่างไร อากาศจะร้อนจะหนาวขนาดไหน อุณหภูมิ กี่องศา ต้องเตรียมเสื้อผ้าแบบใด แต่ปัจจุบันนี้สื่อออนไลน์ได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น ทำให้เราสามารถตรวจสอบสภาพอากาศทั่วโลกได้ด้วยตนเองอย่างง่ายดาย และอีกประการหนึ่ง สภาพภูมิอากาศทั่วโลกของเราที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในปัจจุบันนี้ อาจทำให้ผิดเพี้ยนไปจากเดิม เช่นจากที่เคยหนาวมากอาจอุ่นขึ้นเล็กน้อย

วันนี้เราจึงได้รวบรวมเว็บไซต์สำหรับตรวจสอบสภาพอากาศทั่วโลกมาให้นักเดินทางได้ตรวจสอบสภาพอากาศก่อนออกเดินทางคะ

1.http://www.weather.com/  ผู้สนใจสามารถค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับอุณหภูมิโดยใส่รหัสประจำเมืองที่จะเดินทางไปอยู่ การตรวจสอบอุณหภูมิสามารถเลือกดูได้เป็นเฉพาะชั่วโมง, เฉพาะวันนี้, สุดสัปดาห์ , 5 วัน, 10 วัน, รายเดือน พร้อมทั้งเลือกที่จะดูอุณหภูมิในหน่วยองศาฟาเรนไฮต์ หรือ องศาเซลเซียสได้

2.http://www.accuweather.com/ เวปไซท์นี้ก็เป็นอีกทางเลือกที่พยากรณ์ได้ค่อนข้างแม่นยำ และหลากหลาย

7.http://www.weatherzone.com.au/ เน้นการรายงานอุณหภูมิในประเทศออสเตรเลีย แต่ก็สามารถดูอุณหภูมิในภูมิภาคต่างๆของโลกนี้ได้ด้วยเช่นกัน



ใครที่กำลังมีแผนจะท่องเที่ยวยุโรป อาจจะเคยได้ยินเรื่องเขตพื้นที่เชงเก้น ที่เป็นข้อตกลงของประเทศส่วนใหญ่ในยุโรป ในการอนุญาตให้ผู้คนของประเทศในกลุ่มสมาชิก เดินทางระหว่างกันได้โดยไม่ต้องถือหนังสือเดินทาง และก็มีผลไปถึงการอนุญาตชั่วคราวให้ผู้มีใบอนุญาตเชงเก้น หรือเชงเก้น วีซ่า (Schengen Visa) ที่ออกโดยประเทศใดประเทศหนึ่งในกลุ่มสมาชิกเชงเก้น มีสิทธิ์เดินทางในประเทศอื่นในกลุ่มเชงเก้นได้ด้วย

และสำหรับคนที่อยากไปทัวร์ยุโรปเป็นทริปสั้น ๆ วันนี้เรามีข้อมูลจากทาง EU มาอัพเดทให้ดูกันก่อนค่ะว่า ประเทศไหน บ้างที่เข้าร่วมกลุ่มเชงเก้นแล้ว และประเทศไหนบ้างในยุโรปที่ยังไม่ได้เข้าร่วมกลุ่มเชงเก้น ซึ่งนักท่องเที่ยวจะต้องขอวีซ่าเพื่อเข้าประเทศนั้น ๆ เป็นที่ ๆ ไป คราวนี้จะได้จัดทริปทัวร์ยุโรปได้อย่างถูกต้องและสบายใจกันจ้า

มารู้จักวีซ่าเชงเก้นกันก่อน

วีซ่าเชงเก้น (Schengen Visa) เป็นวีซ่าสำหรับใช้เดินทางเข้า-ออก ประเทศในแถบยุโรปที่มีข้อตกลงเป็นกลุ่มสมาชิกเชงเก้นร่วมกัน ซึ่งหมายถึง หากนักท่องเที่ยวถือวีซ่าเชงเก้นเข้ามา จะสามารถเดินทางผ่านเข้า-ออกในประเทศกลุ่มสมาชิกเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ได้ทั้งหมด โดยไม่ต้องไปเสียเวลาขอวีซ่าเพื่อเข้าไปในพื้นที่เชงเก้นทีละประเทศอีกต่อไป ยกตัวอย่างเช่น หากคุณจัดทริปไปเที่ยวประเทศฝรั่งเศส-เยอรมนี-สวิตเซอร์แลนด์ คุณสามารถไปขอวีซ่าเชงเก้นที่ประเทศฝรั่งเศสที่เดียว แต่เที่ยวได้ทั้งเยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ และประเทศในกลุ่มเชงเก้นอื่น ๆ ต่อได้เลย โดยมีข้อแม้ว่า ระยะเวลาที่พำนักในแต่ละประเทศจะต้องไม่เกิน 90 วัน ภายในระยะเวลา 6 เดือน เริ่มนับตั้งแต่วันแรกที่เดินทางเข้าสู่พื้นที่เชงเก้นนะคะ

ประเทศที่เข้าร่วมสมาชิกเชงเก้น

สำหรับคนที่ต้องการจะเดินทางไปท่องเที่ยวประเทศยุโรป และกำลังจะติดต่อขอทำวีซ่าเชงเก้น เราก็มาอัพเดทกันก่อนดีกว่าค่ะว่า เราจะสามารถขอวีซ่าเชงเก้นได้ที่สถานทูตประเทศไหน และจะสามารถเดินทางท่องเที่ยวประเทศไหนในยุโรปได้บ้าง โดยไม่ต้องขอวีซ่าระยะสั้นหลาย ๆ ประเทศให้ยุ่งยาก ซึ่งประเทศที่เข้าร่วมสมาชิกเชงเก้นแล้ว ได้แก่

1. ออสเตรีย
2. เบลเยียม
3. สาธารณรัฐเช็ก
4. เดนมาร์ก
5. เอสโตเนีย
6. ฟินแลนด์
7. ฝรั่งเศส
8. เยอรมนี
9. กรีซ
10. ฮังการี
11. อิตาลี
12. ลัตเวีย
13. ลิกเตนชไตน์
14. ลิทัวเนีย
15. ลักเซมเบิร์ก
16. มอลตา
17. เนเธอร์แลนด์
18. โปแลนด์
19. นอร์เวย์
20. โปรตุเกส
21. สโลวีเนีย
22. สโลวาเกีย
23. สเปน
24. สวีเดน
25. สวิตเซอร์แลนด์
26. ไอซ์แลนด์

อย่างไรก็ตาม ประเทศบัลแกเรีย, โรมาเนีย, ไซปรัส, โครเอเชีย, สหราชอาณาจักร และไอร์แลนด์ ยังไม่ได้เข้าร่วมกลุ่มเชงเก้น ดังนั้น ผู้ที่ประสงค์จะไปเยือนประเทศเหล่านี้ จึงต้องขอวีซ่าเพื่อเข้าประเทศดังกล่าวต่างหากด้วยนะ

ขั้นตอนการขอวีซ่าเชงเก้น

1. เมื่อวางแผนท่องเที่ยวยุโรปได้แล้ว ให้คุณเดินทางไปติดต่อขอทำวีซ่าเชงเก้นได้ที่สถานทูตของประเทศที่คุณคาดว่าจะใช้เวลาพำนักอยู่นานที่สุด หรือประเทศที่คุณคิดว่าจะเดินทางไปถึงเป็นที่แรกก็ได้

2. กรอกใบสมัครสำหรับการขอวีซ่า หรือดาวน์โหลดใบสมัครจากเว็บไซต์ของสถานทูตนั้น ๆ ผ่านทางอินเทอร์เน็ตโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

3. แสดงหนังสือเดินทางที่มีอายุการใช้งานเกินกว่าช่วงเวลาที่ท่านจะพำนักอยู่ในประเทศเชงเก้น

4. ระบุวัตถุประสงค์การเดินทาง

5. แสดงทรัพย์สินที่เพียงพอต่อการใช้จ่ายในช่วงที่พำนัก

6. มีประกันภัยการเดินทางโดยมีวงเงินประกันอย่างน้อย 30,000 ยูโร

ค่าธรรมเนียมในการขอวีซ่าเชงเก้น

ในการขอวีซ่าเชงเก้น (วีซ่าพำนักระยะสั้น) จะต้องเสียค่าธรรมเนียม 60 ยูโร แต่ทั้งนี้อาจจะได้ลดหย่อน หรือไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเลย ซึ่งขึ้นอยู่กับข้อกำหนด และสิทธิพิเศษบางกรณีไป โดยคุณสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สถานทูตของแต่ละประเทศค่ะ

อายุวีซ่าระยะสั้น

ก่อนจะออกเดินทางไปทัวร์ยุโรปให้จุใจ เรามาดูกันก่อนดีกว่าว่า วีซ่าเชงเก้นจะเอื้อให้เราพำนักในแต่ละประเทศในกลุ่มเชงเก้นได้นานแค่ไหน โดยประเภทวีซ่า และระยะเวลาพำนักก็สามารถแบ่งออกได้ 3 ประเภท ดังนี้

1. วีซ่าประเภท C พำนักระยะสั้น สามารถเดินทางเข้าออกพื้นที่เชงเก้นได้ไม่จำกัดครั้ง โดยมีระยะเวลาที่อนุญาตให้พำนักในแต่ละประเทศไม่เกิน 90 วัน ภายในช่วงเวลา 180 วัน

2. วีซ่าประเภท B วีซ่าเดินทางผ่าน ออกให้กับบุคคลที่เดินทางผ่านประเทศในกลุ่มเชงเก้นประเทศใดประเทศหนึ่ง หรือมากกว่า 1 ประเทศ ก่อนจะเดินทางต่อไปยังประเทศที่ 3

3. วีซ่าประเภท A วีซ่าสำหรับแวะเปลี่ยนเครื่องที่สนามบิน สำหรับนักเดินทางนอกสัญชาติกลุ่มประเทศเชงเก้น ที่ต้องการเดินทางไปยังประเทศที่ 3 แต่ต้องการแวะเปลี่ยนเครื่องในประเทศพื้นที่เชงเก้น จะต้องขอวีซ่าแวะเปลี่ยนเครื่องที่สนามบิน และต้องมีวีซ่าทั้ง 3 ประเภทนี้ไว้ในครอบครองด้วย

ทั้งนี้ หมายความว่าผู้ที่ขอวีซ่าเชงเก้นจะสามารถท่องเที่ยวทั่วเขตพื้นที่เชงเก้นได้สูงสุดนานถึง 1 ปี โดยขึ้นอยู่กับการพิจารณาของสถานทูตประเทศนั้น ๆ ด้วย แต่อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า ต้องอาศัยอยู่ในประเทศใดประเทศหนึ่งไม่เกิน 90 วันเท่านั้นนะคะ ส่วนประเทศที่ยังไม่ได้เข้าร่วมกลุ่มเชงเก้น ก็ต้องขอวีซ่าเพื่อผ่านเข้าประเทศนั้น ๆ ก่อน เพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมาย และเพื่อความปลอดภัย



เที่ยวยุโรปช่วงไหนดี มาตอนไหนดี เรามีคำตอบ

          การเลือกช่วงเวลาในการมาเยือนยุโรปนั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราควรทราบก่อนที่จะวางแผนมาเที่ยว เนื่องจากยุโรปมีฤดูถึง 4 ฤดู คือ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว โดยแต่ละฤดูก็จะมีภูมิอากาศที่มีเอกลักษณ์เฉพาะแตกต่างกันไป ส่วนใหญ่ พิพิธภัณฑ์ หอศิลป์และปราสาทบางแห่งในประเทศจะเปิดทำการให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้เฉพาะในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวเท่านั้นคือช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกันยายน ส่วนช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการมาเที่ยวที่นี่คือช่วงเดือนพฤษภาคมหรือเดือนกันยายน เพราะช่วงนี้ถือว่าเป็นช่วงที่มีอากาศดีมากที่สุดของปี คือ อากาศกำลังสบาย ไม่หนาวและไม่ร้อนจนเกินไป และจำนวนนักท่องเที่ยวก็ไม่เยอะมากอีกด้วย ส่วนในเดือนเมษายนและเดือนตุลาคม ซึ่งมีอากาศหนาวกว่า นักท่องเที่ยวจะน้อยจึงทำให้คุณได้ห้องพักในราคาที่ถูกลง ส่วนในช่วงฤดูหนาว คือช่วงพฤศจิกายน-เดือนมีนาคมซึ่งเป็นช่วงฤดูหนาวอากาศจะหนาวเย็นมาก โดยคุณอาจจะได้เห็นเมืองต่างๆ ปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาว แต่ถึงแม้ว่าในช่วงนี้สถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งจะปิดทำการ แต่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวของยุโรปในช่วงนี้กลับอยู่บนภูเขาสูง โดยมีนักท่องเที่ยวมากมายที่ไปเยี่ยมเยือนหรือทำกิจกรรมต่างๆ กันที่สกีรีสอร์ท ดังนั้นการศึกษาสภาพอากาศก่อนมาเที่ยวยุโรปจึงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญ ทั้งนี้เพื่อให้การมาเยือนยุโรปเป็นไปตามจุดประสงค์หรือกิจกรรมที่คุณต้องการ อีกทั้งยังเป็นแนวทางในการจัดเตรียมเสื้อผ้าให้เหมาะสำหรับแต่ละฤดูอีกด้วย

สภาพอากาศในฤดูใบไม้ผลิ

ฤดูใบไม้ผลิ อากาศจะเย็นสบายและไม่ร้อนจนเกินไป ช่วงต้นของฤดูใบไม้ผลิหรือปลายฤดูหนาวอาจยังคงหนาวเย็นอยู่บ้าง แต่ว่าจากกลางเดือนเมษายนจนถึงเดือนพฤษภาคม สภาพอากาศจะเริ่มอุ่นขึ้นเรื่อยๆ โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยในเดือนมีนาคมประมาณ 5 องศา และในเดือนเมษายนอากาศก็จะเริ่มอุ่นขึ้น แต่ว่าอากาศในเวลากลางคืนส่วนมากก็ยังคงหนาวอยู่ ส่วนในช่วงเดือนพฤษภาคมเวลากลางวันอากาศจะเย็นสบาย โดยมีอุณหภูมิประมาณ 20 องศากว่าๆ ßต้นไม้เริ่มผลิใบ ท้องทุ่งเริ่มมีหญ้าสีเขียวอ่อนสีเขียวแก่ลาดสลับกันไปมาตามสภาพภูมิประเทศ ดอกไม้ใบหญ้าก็จะบานสะพรั่งเห็นเป็นสีสันสวยสดงดงามไปทั่วทุกแห่ง ท้องฟ้าก็เริ่มมืดช้าลงคือ จะมืดตอนประมาณสองทุ่ม จึงทำให้เรามีเวลาเที่ยวได้มากขึ้น บวกกับอากาศที่เย็นสบายด้วยแล้ว ถือว่าในช่วงฤดูใบไม้ผลินี้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของการมาเที่ยวที่ยุโรปเลยก็ว่าได้ค่ะ

สภาพอากาศในฤดูร้อน

ฤดูร้อนของยุโรปจะเริ่มจากประมาณเดือนมิถุนายนจนถึงกลางเดือนกันยายน ซึ่งอากาศในฤดูร้อนนี้ อาจเป็นปัญหาสำหรับนักท่องเที่ยวจากหลายๆ ประเทศ เนื่องจากบางวันอุณหภูมิอาจพุ่งสูงถึง 35 องศา แต่อุณหภูมินี้ไม่เป็นปัญหาสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยอย่างเราแต่อย่างใด เพราะว่านี่ถือเป็นอุณหภูมิปรกติของบ้านเรา แต่ก็อาจมีฝนตกบ้างในบางวัน จึงควรมีร่มคันเล็กๆ ติดตัวไว้ค่ะ นอกจากนี้ ฤดูร้อนที่ยุโรปจะมืดช้าที่สุดในรอบปี คือ พระอาทิตย์จะตกตอนประมาณสามทุ่มสิบห้านาที ทำให้เราได้เที่ยวนานขึ้น และไม่ต้องรีบทำเวลาเพราะกลัวว่าจะมืดหรือว่าจะไม่มีแสงให้ถ่ายรูปค่ะ และอีกอย่างในช่วงหน้าร้อนของที่เช็ค บรรดาร้านอาหาร หรือร้านกาแฟ จะเปิดพื้นที่หน้าร้านให้คุณสามารถนั่งข้างนอก จิบกาแฟ หรือรับประทานอาหารได้ พร้อมกับเพลิดเพลินกับการมองดูผู้คนที่เดินผ่านไปมา ได้บรรยากาศยุโรปๆ ไปอีกแบบ

สภาพอากาศในฤดูใบไม้ร่วง

ช่วงฤดูใบไม้ร่วงถือว่าเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการมาเที่ยวยุโรปเช่นกันค่ะ โดยในช่วงเดือนกันยายนอากาศจะยังคงอบอุ่นมีอุณหภูมิในช่วงเวลากลางวันประมาณ 20 องศา ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีเหลือง สีส้มสด ในวันที่มีแสงแดดคุณจะมองเห็นทิวทัศน์อันงดงามและต้นไม้สีสวยสดสลับสีกันอยู่บนต้นไม้สวยงามราวกับภาพวาด

ส่วนตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคมเป็นต้นไปอุณหภูมิจะเริ่มลดต่ำลง และในเดือนพฤศจิกายนอากาศจะเริ่มหนาวเย็นในเวลากลางคืนโดยอุณหภูมิจะลดต่ำกว่าศูนย์องศา โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 3 องศา และอาจจะมีหิมะชุดแรกตกลงมาในช่วงนี้ มองดูแล้วเหมือนกับเมืองที่ปูพรมสีขาวหรืออยู่ภายใต้ผ้าห่มสีขาวที่สวยงาม

สภาพอากาศในฤดูหนาว

อากาศฤดูหนาวในยุโรปจะหนาวมาก อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ -2-5 °C แต่ถึงอย่างนั้น ช่วงเวลานี้ก็ยังถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ดี ในการมาเที่ยวยุโรป เพราะเมื่อหิมะตก คุณจะได้เห็นตึกราม บ้านเรือน อาคารที่สวยงาม หรือแม้แต่วิวธรรมชาติที่ปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลน และเมื่อต้องกับแสงไฟดวงเล็กดวงน้อยจากบ้านเรือนหรือเสาไฟริมถนนในยามค่ำคืน จะทำให้คุณรู้สึกเหมือนกับกำลังอยู่ในเทพนิยายเลยทีเดียว และยิ่งถ้าได้มีคนรู้ใจมาเดินจูงมือข้างๆ ด้วยแล้วล่ะก็ รับรองว่าโรแมนติกสุดๆ ดังนั้นถึงแม้อากาศจะหนาวมากแค่ไหน ก็ยังมีนักท่องเที่ยวจากหลายประเทศมาแวะเวียนไม่ขาดสาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ชื่นชอบโอเปร่าหรือคอนเสิร์ตดนตรีคลาสสิค

ฤดูหนาวที่นี่จะมืดเร็วกว่าในฤดูอื่นๆ ของปี เนื่องจากพระอาทิตย์จะตกตอนประมาณสี่โมงเย็นในเดือนธันวาคมและเดือนมกราคม และพระอาทิตย์จะตกตอนประมาณห้าโมงเย็นในเดือนกุมภาพันธ์ ทำให้สถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งปิดเร็วตามไปด้วยหรือในบางแห่งจะปิดทำการในช่วงฤดูหนาวไปเลยก็มี

อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจอีกมากมายให้เราได้ทำในฤดูหนาวนี้อย่างเช่น สเก็ตน้ำแข็งกลางแจ้ง หรือจะขึ้นเขาไปเล่นสกี สโนว์บอร์ด หรือสไลเดอร์หิมะ ก็สนุกไปอีกแบบค่ะ ดังนั้น ถ้าหากคุณกำลังมีแผนการว่าจะมาเที่ยวยุโรปในช่วงฤดูกาลนี้ล่ะก็ คุณควรจะเตรียมเสื้อผ้าที่อบอุ่นรวมทั้งเสื้อโค้ทหนาๆ และรองเท้าที่ทำให้เท้าของคุณอุ่นในขณะที่คุณเดินสำรวจเมืองนะคะ