ทัวร์อิตาลีใต้ 11 วัน
รายละเอียดโปรแกรมทัวร์-ทัวร์อิตาลีใต้ 11 วัน
กำหนดการเดินทาง
รอบที่ | วันเดินทาง | ราคา |
---|---|---|
1 | 6 เม.ย. 68 - 16 เม.ย. 68 | 219,900 บาท |
2 | 24 เม.ย. 68 - 4 พ.ค. 68 | 219,900 บาท |
3 | 8 พ.ค. 68 - 18 พ.ค. 68 | 219,900 บาท |
สถานที่สำคัญ
- 1หมู่บ้านหิน Matera ชุมชนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเก่าแก่ที่สุดในอิตาลี (Unesco) (Unseen)
- 2หมู่บ้าน Alberobello รูปทรงประหลาดสวยงดงาม สวยระดับโลก (Unesco) (Unseen)
- 3ชมหมู่บ้านริมหน้าผา Amalfi, Ravello, Positano เส้นทางสวยระดับโลก (Unesco)
- 4ชมเกาะ Capri เกาะสีสันสดใสสุดโรแมนติค
- 5ชม Blue Grotto ถ้ำเรืองแสงสีฟ้า (Unseen)
- 6ชมเมือง Castelmezzano เมืองโบราณ บนหุบเขา (Unseen)
- 7ชมเมือง Polignano a Mare เมืองชายหาดรายล้อมด้วยหน้าผา (Unseen)
- 8ชมเมือง Ostuni สมญานาม นครสีขาว แห่งอิตาลี (Unseen)
- 9ชม Pompeii ใต้เถ้าถ่านภูเขาไฟ (Unesco)
- 10ชม Lecce เมืองทางตอนใต้สุดของอิตาลี (Unseen)
- 11ชม ผลงานแกะสลักหินอ่อน หน้ากากคริสต์ (Unseen)
- 12ชม Royal Palace of Caserta พระราชวังที่ได้ขึ้นชื่อว่าใหญ่ที่สุดในยุโรป (Unesco)
- 13ชม Tivoli เมืองโบราณและวังตากอากาศสุดอลังการ (Unesco)
- 14ชม Naples เมืองสวยต้นตำหรับพิซซ่า
HappyLongWay
ขอนำเสนอโปรแกรมทัวร์ยุโรป
ทัวร์อิตาลีใต้ เจาะลึกอันซีน
11 วัน 9 คืน
โดยสายการบินการ์ต้า (QR)
สนามบินสุวรรณภูมิ - กรุงเทพฯ - โดฮา
- 16.30 น. คณะพร้อมกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ ชั้น 4 เคาน์เตอร์ Q ประตู 8 สายการบินการ์ตาร์ แอร์เวย์ พบเจ้าหน้าที่บริษัทอำนวยความสะดวกในการเช็คอิน
- 19.45 น. ออกเดินทางสู่โดฮา โดยสายการบินการ์ตาร์ แอร์เวย์ เที่ยวบินที่ QR 837
- 23.10 น. เดินทางถึง ท่าอากาศยานนานาชาติโดฮา (แวะพักเปลี่ยนเครื่อง)
***หมายเหตุ ไฟล์ทบินอาจมีการเปลี่ยนแปลง***
โดฮา- กรุงโรม (อิตาลี) - กาแซร์ตา - พระราชวังกาแซร์ตา - เนเปิ้ลส์
- 02.00 น. เดินทางสู่กรุงโรม โดยสายการบินการ์ตาร์ แอร์เวย์ เที่ยวบินที่ QR 115
- 06.15 น. เดินทางถึงทางอากาศนานาชาติฟูมิชิโน่ กรุงโรม ประเทศอิตาลี
- จากนั้นเดินทางสู่เมือง กาแซร์ตา (Caserta) (ระยะทาง 215 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 2.30 ชม.) เป็นเมืองหลวงของจังหวัด Caserta ในภูมิภาคกัมปาเนียของอิตาลี Caserta เป็นชุมชนและเมืองเกษตรกรรม การค้า และอุตสาหกรรมที่สำคัญ ตั้งอยู่ทางเหนือของเนเปิลส์ 30 กิโลเมตร บนขอบที่ราบ Campanian ที่ตีนเขา Campanian Subapennine
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
- จากนั้นนำท่านเข้าชมพระราชวังกาแซร์ตา (Royal Palace of Caserta) เป็นอดีตพระราชวังที่ประทับของพระมหากษัตริย์แห่งเนเปิลส์แห่งราชวงศ์บูร์บง ที่ตั้งอยู่ที่เมืองกาแซร์ตาในประเทศอิตาลี พระราชวังกาแซร์ตาเป็นหนึ่งในพระราชวังแบบบาโรกที่ใหญ่ที่สุดที่สร้างขึ้นในยุโรปในคริสต์ศตวรรษที่ 18 ได้รับการยอมว่า เป็นพระราชวังที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป พระราชวังกาแซร์ตา”ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี ค.ศ. 1997 (Unesco) ในฐานะที่ “งานชิ้นเลิศของยุคบาโรก ที่ใช้ทุกสิ่งทุกอย่างในการสร้างความลวงตาและพหุทัศน์ทางสถาปัตยกรรม” นำท่านชมห้องต่างๆในพราะชวัง
- จากนั้นนำท่านเดินทางสู่เมืองเนเปิลส์ หรือ นาโปลี (Naples, Napoli) (ระยะทาง 35 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 40 นาที) เมืองที่มีชีวิตชีวา มีสีสัน คึกคัก เป็นเมือง ที่มีการผสมผสานศิลปวัฒนธรรมดั้งเดิมกับความทันสมัยจนเป็นเนื้อเดียวกัน โบสถ์เก่าๆ กับบ้านเรือนสมัยใหม่ อยู่ปะปนกันไป ไม่สามารถแยกเป็นเขตเมืองเก่ากับเมืองใหม่ได้ นำท่านเดินชมเมืองเก่าของเนเปิ้ล
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
RENAISSANCE NAPLES HOTEL MEDITERRANEO หรือระดับเทียบเท่า 4 ดาว
เนเปิ้ลส์ - วิหาร Cappella Sansevero - หน้ากากพระคริสต์ - บารี
รับประทานอาหารเช้าแบบอเมริกัน ณ โรงแรมที่พัก
- จากนั้นนำท่านเข้าชมหอสวดมนต์ Cappella Sansevero เป็นโรงสวดในเนเปิลส์ที่สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 16 เป็นที่รวบรวมผลงานศิลปะเชิงศาสนาของอิตาลีจากแหล่งต่างๆ ไว้ด้วยกัน หอสวดมนต์นี้สร้างขึ้นโดยท่านดยุคในท้องถิ่นนามว่า Giovan Francesco di Sangro เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณต่อพระแม่มารีย์ที่ช่วยรักษาอาการเจ็บป่วย สังเกตประติมากรรมหินอ่อนที่มีความประณีตและละเอียด เช่น Veiled Christ นอกจากนี้ยังมีภาพวาดบนฝาผนัง ชั้นหินอ่อนอันหรูหราน่าทึ่งและผลงานกราฟฟิคที่แสดงให้เห็นถึงลักษณะทางกายภาพของมนุษย์อย่างชัดเจน
- นำท่านชมผลงานที่ชื่อว่า หน้ากากพระคริสต์ โดย จูเซปเปซานมาร์ติโน ที่เป็นการแกะสลักหินอ่อนพระเยซูโดยมีผ้าคลุมไว้ ถือเป็นผลงานระดับ Masterpiece ที่ท่านมาเมืองนาโปลีแล้วไม่ควรพลาดชม
** หมายเหตุ หากทางโบสถ์มีพิธีกรรมสำคัญ ไม่เปิดให้ชมทางบริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการงดเข้าชม **
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
- จากนั้นนำท่านเดินทางสู่เมืองบารี (Bari) (ระยะทาง 210 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง) เป็นเมืองหลักของแคว้นปุลยา บนชายฝั่งทะเลเอเดรียติก ประเทศอิตาลี เป็นเมืองสำคัญอันดับ 2 ในด้านเมืองเศรษฐกิจ
- ชมโบสถ์เซนต์นิโคลัส (BASILICA ST.NICHOLAS) ซึ่งเดิมเคยใช้เป็นที่พำนักของผู้ปกครองเมืองชาวไบแซนไทน์เมื่อราวปี ค.ศ.1000 ต่อมาในปี ค.ศ.1087 ชาวบารีได้นำกระดูกของเซนต์นิโคลัสมาจากโบสถ์แห่งเมืองไมร่า (MYRA) ในประเทศตุรกี จึงได้ดัดแปลงอาคารแห่งนี้เป็นโบสถ์ และประดิษฐานกระดูกของเซนต์นิโคลัสไว้ภายใน ซึ่งเชื่อกันว่า เซนต์นิโคลัส ก็คือที่มาของซานตาคลอสนั่นเอง อิสระท่านชมความงดงามภายในโบสถ์
- ชม จัตุรัสเฟอร์เรรา (Piazza del Ferrarese) จัตุรัสเก่าแก่ที่เป็นทางเข้าไปสู่ย่านเมืองเก่า ทางด้านซ้ายเป็นที่ตั้งของซาลามูรัต (Sala Murat) แกลเลอรีศิลปะและทางด้านขวาเป็นตลาดปลา ทางตอนเหนือมีส่วนเชื่อมกับจัตุรัสการค้า (Piazza Mercantile)
- ให้ท่านได้ถ่ายรูปกับอาคารที่มีสถาปัตยกรรมแปลกตามีเสน่ห์น่ารัก มีบานประตูและหน้าต่างเป็นสีต่างๆ รวมถึงพุ่มไม้ เรียงรายบนหลังคาอาคารบ้านเรือน
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
THE NICOLAUS BARI HOTEL หรือระดับเทียบเท่า 4 ดาว
บารี - อัลเบอโรเบลโร - โปลีญาโนอามาเร - พิเศษ รับประทานอาหาร ร้านถ้ำ Grotta Palazzese - ออสตูนี - เลชเช่
รับประทานอาหารเช้าแบบอเมริกัน ณ โรงแรมที่พัก
- จากนั้นนำท่านเดินทางสู่เมือง อัลเบอโรเบลโร (Alberobello) (ระยะทาง 55 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง) ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดบารี (Bari) แคว้นปูลยา (Puglia)
- นำท่านชมหมู่บ้านสวยแปลกตา The Trulli of Alberobello หมู่บ้านเก่าแก่ที่มีประวัติเกือบพันปี ด้วยความโดดเด่นของบ้านเรือนที่มีเอกลักษณ์เป็นรูปหลังคากรวยมียอดแหลมกลมส่งผลให้หมู่บ้านนี้มีความสวยแปลกตาอย่างมาก ไม่เหมือนใครที่สร้างกันลดหลั่นตามระดับสูงต่ำของพื้นที่ ด้วยความสวยงาม ความมีเอกลักษณ์และประวัติที่เก่าแก่ของหมู่บ้านแห่งนี้ ทำให้ในปี 1996 ได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลก (UNESCO)
- จากนั้นนำท่านเดินทางสู่เมือง Polignano a Mare (ระยะทาง 30 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 30 นาที)ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของอิตาลีในจังหวัดบารีและบนชายฝั่ง เป็นหมู่บ้านชาวประมงเก่า ที่ยังคงเสน่ห์แบบกะลาสีเรือไว้ในทุกมุม เป็นเมืองที่สามารถมองเห็นได้ง่ายในวันเดียวและมีเมืองเก่าที่สวยงาม มีความโดดเด่นในบางสิ่งเช่นบ้านที่ดู เหมือนแขวนอยู่บนหน้าผา เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเนื่องจากการแข่งขัน ‘Red Bull Cliff Diving World Series’ ที่จัดขึ้นบนหน้าผา เป็นการแข่งขันกระโดดสูงที่ตระการตา
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง ณ ร้าน Grotta Palazzese ร้านอาหารที่อยู่ในถ้ำ ตั้งยื่นออกไปในทะเล เป็นหนึ่งในร้านที่ท่านมาเยือนอิตาลีตอนใต้ไม่ควรที่จะพลาด
- จากนั้นนำท่านแวะถ่ายรูปกับชายหาด Lama Monachileg เมือง Polignano a Mare ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้เลยก็ว่า ด้วยความเป็นหาดทรายเล็กๆ โอบล้อมไปด้วยหน้าผ้าสูงที่ยื่นออกไปยังทะเลและยังมีบ้านสีขาวตั้งโดดเด่นเหน้าหน้าผา ทำให้เป็นชายหาดที่แปลกตาและสวยงามอย่างมาก
- จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ ออสตูนี (Ostuni) (ระยะทาง 45 กม. ใช้เวลาประมาณ 40 นาที) ตัวเมืองตั้งอยู่ในเขตจังหวัดบรินดีซี (Brindisi) ด้วยภูมิทัศน์ที่สวยงามของชายหาด ไร่องุ่นและไร่มะกอก ทำให้เมืองนี้เป็นแม่เหล็กทางการท่องเที่ยวของอิตาลีตอนใต้ปลายรองเท้าบูท ออสตูนีนอกจากจะถือเป็นอัญมณีด้านสถาปัตยกรรมที่มีชื่อเสียง ยังได้รับการยกย่องให้เป็น ‘เมืองสีขาว’ แห่งอิตาลี
- จากนั้นนำท่านชมย่านเมืองเก่าออสตูนี’ (Old Town) ที่มีลักษณะเป็นเมืองป้อมปราการขนาดใหญ่สร้างขึ้นบนเนินเขาและถูกล้อมรอบไปด้วยกำแพงโบราณสูงตระหง่าน
- นำท่านชมโบสถ์เซนต์ วิโต มาร์ตีร์ (San Vito Martire) เป็นหนึ่งในอนุสรณ์สถานทางศาสนาที่มีความสำคัญของเมือง โบสถ์แห่งนี้สร้างขึ้นในช่วงระหว่างปี 1750 – 1752 แม้จะมีอายุกว่า 200 ปีแล้วแต่ยังคงความงามสง่าสมเป็นแลนด์มาร์กสำคัญ
- นำท่านเดินชมเมืองหรือให้ท่านเลือกซื้อสินค้าตามอัธยาศัย
- นำท่านเดินทางสู่เมืองเลชเช่ (Lecce) (ระยะทาง 75 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 1ชั่วโมง) หนึ่งในเมืองสำคัญของแคว้น Puglia
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารพื้นเมือง
HILTON GARDEN INN LECCE HOTEL หรือระดับเทียบเท่า 4 ดาว
เลชเช่ - มาเตรา
รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก
- นำท่านชมเมืองเก่าเลชเช่ เมืองที่สร้างสไตล์บาโรก ที่สร้างจากหินปูนเรียงรายกันอยู่
- ท่านถ่ายรูปกับ Porta Napoli หรือที่เรียกว่าประตูชัย Arco di Trionfo สร้างขึ้นเพื่อต้อนรับการมาเยือนของกษัตริย์ Charles V จากสเปน
- ชม The Celestini Palace หรือ Palazzo dei Celestini ปราสาทราชวังเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 16 ภายใต้สถาปัตยกรรมแบบบาโรก ปัจจุบันที่นี่ได้รับการอนุรักษ์จากรัฐบาลทำให้ทั้งโครงสร้างด้านใน และด้านนอกยังคงแข็งแรง ทั้งยังถูกใช้เป็นที่ว่าการของเมืองเลชเช่อีกด้วย ถัดมาใกล้ ๆ กันคือ “Basilica di Santa Croce” หรือมหาวิหารซานตาโคร มหาวิหารแห่งนี้เริ่มสร้างตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1549 – ค.ศ. 1582 มีความสวยงามโดดเด่นด้วยการแกะสลักหินที่สวยงาม ตกแต่งซุ้มด้านหน้าด้วยรูปปั้นสัตว์หน้าตาแปลกประหลาด จุดเด่นที่ดึงดูดความสนใจจะเป็นหน้าต่างบานใหญ่ตรงกลางที่แกะสลักเป็นรูปกุหลาบซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปะแบบกรีกโรมัน อลังการจนใครไปใครมาก็ต้องหยุดมอง อิสระท่านเดินเล่นตามอัธยาศัย
- จากนั้นนำท่านเดินทางสู่เมือง มาเตรา (Matera) หรือ Sassi di Matera เมืองลึกลับที่งดงามในหุบเขา ที่น้อยคนนักจะรู้จักและได้ไปเยือน เป็นเมืองที่ได้ขึ้นชื่อว่าเก่าแก่ที่สุดในประเทศอิตาลี (ระยะทาง 170 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 2.30 ชั่วโมง) เมืองที่ได้รับการยกย่องให้เป็นอัญมณีแห่งการท่องเที่ยว เมืองมาเตราเป็นเมืองที่มีอายุมากกกว่า 2,000 ปี บ้านเรือนถูกสร้างขึ้นจากการขุดเจาะภูเขาเป็นอุโมงค์เข้าไปเพื่อเป็นที่อยู่อาศัย ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก (Unesco) ในปี 1993 และยังได้รับการรับเลือกให้เป็นเมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมยุโรปประจำปี 2019 อีกด้วย และยังได้รับการยอมว่าคือชุมชนที่เก่าแก่ที่สุดในอิตาลีอีกด้วย
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
- นำท่านเดินชมเมือง
- จากนั้นนำท่านเดินเล่นชมหมู่บ้านมาเตรา ท่านจะได้สัมผัสหมู่บ้านที่ถูกทำร้านค้า ร้านขายของ ร้านอาหาร ให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไปสัมผัสตัวบ้านอย่างใกล้ชิด อิสระให้ท่านเล่นถ่ายรูปตามอัธยาศัย
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
LA SUITE MATERA HOTEL & SPA หรือระดับเทียบเท่า 4 ดาว
หมายเหตุ : โรงแรมในตัวเมือง Matera มีจำกัดหากโรงแรมเต็มทางบริษัทขอสงวนสิทธิ์ไปพักเมืองข้างเคียง
มาเตรา - คาสเทลเมสซาโน (Unseen) - ซาเลอโน
รับประทานอาหารเช้าแบบอเมริกัน ณ โรงแรมที่พัก
- จากนั้นนำท่านเดินทางสู่หมู่บ้าน คาสเทลเมสซาโน (Castelmezzano) (ระยะทาง 83 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที) เป็นหมู่บ้านเล็กๆที่ตั้งบนยอดเขาในจังหวัดโพเทนซ่า (Potenza) ในแคว้น Basilicata ด้วยความสวยงามหมู่บ้านแห่งนี้นอกจากสร้างอยู่บนยอดเขา มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แรกเริ่มเป็นถิ่นฐานของชาวกรีกราวศตวรรษที่ 5-6 ปัจจุบันมีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 1000 คนเท่านั้น เนื่องจากความสวยงามของที่ตั้งแต่ วิวทิวทัศน์ทำให้หมู่บ้านแห่งนี้เป็นอีกหนึ่งหมู่บ้านที่สวยที่สุดของอิตาลีอีกด้วย
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
- นำท่านเดินชมเมือง และให้ท่านถ่ายรูปเลือกซื้อของฝากตามอัธยาศัย
- นำท่านเดินทางสู่เมือง ซาเลอโน (SALERNO) เมืองท่าสำคัญอีกแห่งของประเทศอิตาลี
- อิสระทุกท่านพักผ่อนตามอัธยาศัย (ระยะทาง 140 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 2 ชม.)
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
NOVOTEL HOTEL SALERNO EST ARECHI หรือระดับเทียบเท่า 4 ดาว
อมาลฟีโคสท์ - อมาลฟี - ราเวลโล่ - โพสิตาโน่ - ซอร์เรนโต้
รับประทานอาหารเช้าแบบอเมริกัน ณ โรงแรมที่พัก
- จากนั้นนำท่านเปลี่ยนรถเป็น Mini Bus 8 ที่นั่ง เนื่องจากมีการเปลี่ยนกฎการวิ่งรถ เดินทางสู่ถนนเลียบชายฝั่ง อมาลฟีโคสท์ หมู่บ้านริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เส้นทางเลียบชายฝั่งที่ได้ขึ้นชื่อว่าสวยที่สุดในโลก ที่ติดอันดับความสวยงามระดับโลก ทั้ง 3 เมือง และได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก (Unesco) คือ ราเวลโล่ (Ravello),อมาลฟีโคสท์ (Amalfi Coast), โพสิตาโน่ (Positano) หมู่บ้านสีสันสวยงามที่สร้างตามความลาดชันของหน้าผาเรียงรายสวยงามยิ่งนัก
(*** เนื่องจากข้อจำกัดเรื่องการเดินทางในอมาลฟีโคสท์ มีการเปลี่ยนแปลง ทางบริษัทขอสงวนสิทธิ์หากมีการเปลี่ยนแปลงโดยจะคำนึงถึงผลประโยชน์ของลูกค้าเป็นสำคัญ เมืองโพสิตาโน่ เข้าได้เฉพาะทางเรือเท่านั้น รถมินิบัสวิ่งผ่านบนเขาหลังตัวเมืองเท่านั้น ***)
- นำท่านเดินทางสู่เมือง ราเวลโล่ เมืองตากอากาศบนเขาสูง ด้านหน้าเป็นวิว ทะเลสวยมากถึงมากที่สุด ด้านหลังเป็นวิวภูเขาสูงเมืองนี้สวยสุดยอด จริงๆ ตัวเมืองเป็นบ้านเก่าๆ เล็กๆ อยู่ข้างๆ จตุรัสมีร้านกาแฟน่ารักอยู่ รอบๆ
- นำท่านเดินชมตัวเมืองเริ่มจากจตุรัสกลางเมืองเวสโควาโด (PIAZZA VESCOVADO) โบสถ์ประจำเมืองที่มีอายุกว่า 800 ปี ชม ประตูสัมฤทธิ์ (THE BRONZE DOOR) ที่มีภาพสลักเรื่องราวของพระคริสต์ถึง 54 ช่อง
- ชมวิวสวยรอบจตุรัส และวิลล่า รูโฟโล (VILLA RUFOLO) คฤหาสน์บนหน้าผาริมทะเลที่สวยงาม ภายในมีสวนดอกไม้ริมหน้าผาที่ งดงามยิ่ง จุดชมวิวตรงนี้เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของเมืองราเวลโล่
- จากนั้นนำท่านเดินทางสู่เมือง อมาลฟี เมืองนี้เคยเป็นเมืองที่มีอํานาจทาง ทะเล ต่อมาคาดว่าเกิดแผ่นดินถล่มจมหายไปในทะเล เมืองนี้จึงกลายเป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ มีประชากรราว 3 พันคน มีมหาวิหารใหญ่ ที่สวยงาม
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
- นำท่านชมตัวเมืองอมาลฟี นำท่านชมมหาวิหารใหญ่ที่สวยงามคือ มหาวิหารเซ็นท์แอนเดรีย “Duomo di Sant’Andre” ใจกลางเมือง มีอายุเก่าแก่กว่า 900 ปี
- จากนั้นให้ท่านผ่านชมวิว เมือง โพสิตาโน่ (Positano) อีกหนึ่งเมืองชื่อดังของอมาลฟี
- จากนั้นนำท่านเดินทางสู่เมือง ซอนเรนโต้ (Sorrento) ที่มาของเพลง “คัมแบค ทูซอร์เรนโต้” และเป็นบ้านเกิดของเอนริโก คำรูโซ (ENRICO CARUSO) นักร้องโอเปราชื่อดังเป็นเมืองในฝันที่งดงามล้ำเลิศ เมืองที่มีทัศนียภาพสวยงามโดยเฉพาะเวลาตอนที่พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้า
- นำท่านเดินชมเมือง
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
HILTON SORRENTO HOTEL PALACE หรือระดับเทียบเท่า 4 ดาว (พัก 2 คืน)
ซอร์เรนโต - เกาะคาปรี - ถ้ำบลูกร๊อตโต้ - ซอร์เรนโต
รับประทานอาหารเช้าแบบอเมริกัน ณ โรงแรมที่พัก
- จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ท่าเรือเพื่อนำท่านขึ้นเรือเฟอร์รี่ข้ามไปสู่ เกาะ คาปรี (Capri) เกาะที่มีเสน่ห์เป็นของตัวเองมีฉากหลังเป็นภูเขาไฟวิซูสเวียส เป็นเกาะในทะเลเมติเตอร์เรเนียน (Tyrrhenian sea) ทางทิศใต้ของอ่าวเนเปิลส์ เป็นสถานที่ตากอากาศตั้งแต่สมัยโรมันโบราณ ในระหว่างสงครามนโปเลียน ถูกอังกฤษและฝรั่งเศสผลัดกันเข้ายึดครอง และกลับคืนเป็นของอิตาลีในปีค.ศ. 1813 ได้รับการจัดอันดับจากเนชั่นเนล จีโอกราฟฟิก ว่าเป็นเกาะที่สวยที่สุดของโลกอันดับที่ 7 ในปี 2013
- จากนั้นนำท่านชมล่องเรือเพื่อไปชม ถ้ำบลูกร๊อตโต้ (Blue Grotto) ถ้ำที่อยู่ในทะเลมีแสงสะท้อนสีฟ้าจากน้ำทะเลขั้นมากระทบถ้ำสวยงามยิ่งนัก
หมายเหตุ : การชมถ้ำบลูกร๊อตโต้ ได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศเอื้ออำนวยด้วย เช็ควันต่อวัน หากไม่สามารถเข้าชมได้ ทางบริษัท ของสงวนสิทธิ์เปลี่ยนเป็นล่องเรือชมความงดงามของเกาะคาปรีแทน
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
- จากนำท่านนั่งรถรางขึ้นสู่ยอดเขาคาปรี (คาปรีเซนเตอร์)
- นำท่านเดินชมเขตตัวเมืองที่มีบรรยากาศน่ารัก และแวะพักที่สวนออกุสต้า พร้อมบันทึกภาพกับโขดหิน FARAGLIONI สัญลักษณ์ของเกาะคาปรี
- นำท่านเดินเล่นชมเมืองคาปรี บริเวณจัตุรัสอุมแบร์โต (Piazza Umberto) จัตุรัสที่มีหอนาฬิกาจากนั้นให้ท่านได้เดินชมเมืองหรือเลือกซื้อสินค้าที่ระลึกตามอัธยาศัย
- นำท่านนั่งเรือเฟอร์รี่กลับสู่เมืองซอเรนโต้
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
HILTON SORRENTO HOTEL PALACE หรือระดับเทียบเท่า 4 ดาว
ซอร์เรนโต - ปอมเปอี - กรุงโรม
รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก
- จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ เมือง ปอมเปอี (Pompei) (ระยะทาง 25 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 30 นาที) เมื่อเดินทางมาถึงท่านจะ เห็นภูเขาไฟวิสุเวียส “Vesuvius Volcano” ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่พ่นลาวามาทับถมสองเมืองคือ เมืองปอมเปอี(Pompei) กับ เมืองเฮอร์คิวลานุม (Herculaneum) และได้กลืนกินเมืองทั้งเมืองอยู่ใต้เถ้า ถ่านที่ประทุออกมา เวลาผ่านไปพันปีเมืองนี้ก็กลายเป็นตํานานที่ลางเลือนจนกระทั่งมีคนที่ขุดพบโดยบังเอิญเมื่อประมาณ สองร้อยปีก่อน จึงทําการขุด เมืองทั้งเมืองขึ้นมา ไม่น่าเชื่อว่าเมืองใหญ่โตขนาดนั้นจะถูกกลบมิดเป็นเวลา เกือบสองพันปีมีสนามกีฬา โรงละครศาสนสถาน ร้านค้า บ้านเรือนตั้งเรียงราย เป็นจํานวนมาก
- นำท่านเข้าชมโบราณสถาน ปอมเปอี (Archeological – Site Pompei) ชมสภาพของเมืองที่ขุดคนขึ้นมาได้ภายในกําแพงที่โอบล้อม ตัวเมืองชมเขตใจกลางเมือง ซึ่งเป็นที่ตั้งของวิหาร, สํานักงานราชการตลาด,ร้านค้า, โรงละคร, สนามกีฬา, บ้านเรือน และโรงอาบน้ำสาธารณะของโรมัน
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
- จากนั้นเดินทางสู่กรุงโรม (Rome) เมืองหลวงของประเทศอิตาลี เมืองที่เป็นต้นกำเนิดของ โรมัน (ระยะทาง 250 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 3 ชม.)
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารอาหารไทย
RADISSON BLU GHR ROME HOTEL หรือระดับเทียบเท่า 4 ดาว
กรุงโรม - ทิโวลี - กรุงโรม - ช้อปปิ้ง - สนามบิน
รับประทานอาหารเช้าแบบอเมริกัน ณ โรงแรมที่พัก
- จากนั้นนำท่านเดินทางสู่เมือง ทิโวลี (Tivoli) เมืองเล็กๆ ห่างจากกรุงโรมเพียง 30 กิโลเมตร แต่เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงด้านโบราณและบ้านพักตากอากาศของชนชั้นสูงสมัยก่อน ที่มีความสวยงามยิ่งใหญ่อลังการมากและมีคุณค่าทางประวัติจนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก (Unesco)
- จากนั้นนำท่านเข้าชมพระราชวัง Villa d’Este อันงดงามใน Tivoli นี้เป็นหนึ่งในมรดกโลกขององค์กรยูเนสโกของอิตาลี วิลลาแห่งนี้ได้รับการว่าจ้างจากพระคาร์ดินัล Ippolito II d’Este ผู้ว่าการ Tivoli ในปี ค.ศ. 1550 ซึ่งรู้สึกผิดหวังกับการที่พระสังฆราชไม่ได้รับการเลือกตั้งจึงอยากจะนำความหรูหราของศาล Ferrarese Roman and French Courier มาตั้งไว้ที่ Tivoli โดยจุดเด่นของพระราชวังนีอยู่ที่ความสวยงามของน้ำพุและอุโมงค์ของ Villa d’Este เป็นแบบจำลองที่สร้างเลียนแบบสถาปัตยกรรมที่ยึดตามแบบบาร็อค สิ่งที่โดดเด่นที่สุดในวิลลาคือสวนอันมหัศจรรย์ซึ่งคิดและออกแบบโดยจิตรกรและสถาปนิก Pirro Ligorio
- จากนั้นนำท่านเดินทางกลับสู่กรุงโรม
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารจีน
- นำท่านช้อปปิ้งย่าน บันไดสเปน เป็นบันไดในกรุงโรม ประเทศอิตาลี ได้รับการออกแบบโดยสถาปนิกชาวอิตาลี ชื่อ Francesco de Sanctis เชื่อมระหว่าง Piazza di Spagna และ Piazza Trinità dei Monti เป็นบันไดที่กว้างที่สุดและยาวที่สุดในทวีปยุโรป มีขั้นบันไดทั้งหมด 138 ขั้น ใช้สำหรับเดินเล่นหรือเลือกซื้อสินค้า ย่านบันไดสเปน ย่านนี้ยังเต็มไปด้วยร้านบูติคแบรนด์ดังมากมาย รวมไปถึงบูติคแฟชั่นระดับชั้นนำของอิตาลี เช่น วาเลนติโน กุชชี่ พราด้า อาร์มานี่ และอื่นๆ อีกมากมายตั้งเรียงรายอยู่ในย่านสุดหรูแห่งนี้
- หรือท่านสามารถเดินไปชม น้ำพุเทรวี่ (Trevi fountain) เป็นน้ำพุที่สวยงามและมีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก ชื่อ “เทรวี่” ออกแบบและก่อสร้างโดย นิโคลา ซาลวี่ ซึ่งองค์สมเด็จสันตะปาปา ครีเมนต์ที่ 12 ได้มอบหมายให้สร้างขึ้นในปี 1732 รูปปั้นแกะสลักที่เลิศหรูอลังการที่อวดโฉมให้ผู้ไปเยือนได้ยลนั้น ได้แนวคิดจากความยิ่งใหญ่ของเทพเจ้าเนปจูน“เทพแห่งท้องทะเล” ว่ากันว่า หากใครที่ได้โยนเหรียญลงไปในน้ำ เขาหรือเธอผู้นั้นจะได้กลับมาเยือนอีกในสักวัน
- อิสระให้ทุกท่านเดินเล่นหรือเลือกช้อปปิ้งสินค้าที่ระลึก และสินค้าแบรนด์เนมตามอัธยาศัย
ให้ท่านอิสระรับประทานอาหารค่ำตามอัธยาศัย
- ได้เวลาอันสมควรนำท่านออกเดินทางสู่สนามบิน เพื่อทำการเช็คอินและทำ TAX REFUND
- 22.30 น. ออกเดินทางสู่โดฮา โดยสายการบินการ์ตาร์ แอร์เวย์ เที่ยวบินที่ QR 114
***หมายเหตุ ไฟล์ทบินอาจมีการเปลี่ยนแปลง***
โดฮา - สนามบินสุวรรณภูมิ - กรุงเทพฯ
- 04.45 น. เดินทางถึง ท่าอากาศยานนานาชาติโดฮา (แวะพักเปลี่ยนเครื่อง)
- 08.25 น. ออกเดินทางสู่กรุงเทพฯ โดยสายการบินการ์ตาร์ แอร์เวย์ เที่ยวบินที่ QR 828
- 18.45 น. เดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพ…..