ทัวร์อิตาลีเหนือ – กลาง (Unseen)
รายละเอียดโปรแกรมทัวร์-ทัวร์อิตาลีเหนือ – กลาง (Unseen)
กำหนดการเดินทาง
รอบที่ | วันเดินทาง | ราคา |
---|---|---|
1 | 23 เม.ย. 68 - 4 พ.ค. 68 | 219,900 บาท |
2 | 14 พ.ค. 68 - 25 พ.ค. 68 | 219,900 บาท |
3 | 4 มิ.ย. 68 - 15 มิ.ย. 68 | 219,900 บาท |
สถานที่สำคัญ
- 1ชมเส้นทาง Val D’Orcia เส้นทางท้องทุ่งสุดสวยของแคว้นทัสคานี ที่มีชื่อเสียงทั่วโลก (Unesco)
- 2ชมหมู่บ้าน Civita di Bagnregio อายุเก่าแก่กว่า 2,000ปี ! (Unseen)
- 3ชมหมู่บ้าน Cinque Terre หมู่บ้านหน้าผาริมทะเล ที่สวยที่สุดในโลก (Unesco)
- 4หมู่บ้าน San Gimignano หมู่บ้านที่ได้รับการยอมรับว่าสวยที่สุดในทัสคานี (Unesco) (Unseen)
- 5ชมหมู่บ้าน Pienza หมู่บ้านบนเนินเขาในท้องทุ่งสุดสวยของทัสคานี (Unesco) (Unseen)
- 6ชมหมู่บ้าน Bellagio / Varenna หมู่บ้านสวยในทะเลสาบโคโม่ หนึ่งในทะเลสาบที่สวยที่สุดในอิตาลี
- 7ชมหมู่บ้าน Montepulciano หมู่บ้านบนเนินเขาสุดสวยในท้องทุ่งทัสคานี (Unseen)
- 8ชมเกาะ Burano เกาะสีสันลูกกวาดสุดสวย (Unseen)
- 9ชมรูปแกะสลัก David รูปต้นแบบ (Original) ฝีมือ มิเคลันเจโล
- 10ชมเมือง Siena เมืองโบราณแห่งแคว้นทัสคานี สไตล์อิตาลี ได้รับ (Unesco)
- 11ชมเกาะ Venice เกาะที่โรแมนติคที่สุดของโลก
- 12ชมเมือง Florence เมืองที่ว่ากันว่าสวยที่สุดในอิตาลี
- 13ชมเมือง Bologna หนึ่งในเมืองสวยของอิตาลี
- 14นำท่านชิมและชมการบ่มไวน์ (Wine Tasting) ไวน์ที่มีชื่อเสียงแห่งแคว้นทัสคานี
- 15ช้อปปิ้ง The Mall Outlet Luxury เอาท์เลต Luxury ที่ดีที่สุดของอิตาลี
สนามบินสุวรรณภูมิ - กรุงเทพฯ - ดูไบ - โรม
- 06.00 น. คณะพร้อมกัน ณ สนามบินสุวรรณภูมิ อาคารผู้โดยสารขาออก ชั้น 4 เคาน์เตอร์ T ประตู 9-10 สายการบินเอมิเรสต์ แอร์ไลน์ส (EK) เจ้าหน้าที่บริษัทฯ คอยให้การต้อนรับพร้อมอำนวยความสะดวก ด้านสัมภาระ และบัตรที่นั่งขึ้นเครื่อง
- 09.30 น. ออกเดินทางสู่ นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยสายการบินเอมิเรตส์ เที่ยวบิน EK 375
***หมายเหตุไฟล์ทบินอาจมีการเปลี่ยนแปลง***
- 13.00 น. เดินทางถึงสนามบินดูไบ (แวะเปลี่ยนเครื่อง)
- 15.45 น. ออกเดินทางสู่กรุงโรม โดยสายการบินเอมิเรตส์ เที่ยวบิน EK 095
- 20.05 น. เดินทางถึงทางอากาศนานาชาติฟูมิชิโน่ กรุงโรม ประเทศอิตาลี
HILTON ROME AIRPORT HOTEL หรือระดับเทียบเท่า 4 ดาว
กรุงโรม (อิตาลี) - ซิวิตา ดิ แบนอริจิโอ - มอนเตปุลเชียโน - เซียน่า
รับประทานอาหารเช้าแบบอเมริกัน ณ โรงแรมที่พัก
- จากนั้นนำท่านเดินทางสู่หมู่บ้าน ซิวิตา ดิ แบนอริจิโอ (Civita di Bagnoregio) (Unseen) (ระยะทาง 150 กม. ใช้เวลาประมาณ 2 ชม.) หมู่บ้านเล็กๆ บนเนินเขาในแคว้นลาซิโอใกล้ๆกรุงโรม มีการตั้งถิ่นฐานมาตั้งแต่ 2,500 ปี ภายในมีบ้านเรือนที่ทำจากหินอายุหลายร้อยปี มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ได้รับการยอมรับว่าคือ เพชรเม็ดงามแห่งแคว้นลาซิโอ มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 100 คนเท่านั้น ยิ่งในฤดูหนาวจะมีประชากรอาศัยอยู่ไม่ถึง 20 คน
- จากนั้นให้ท่านเดินขึ้นชมเมืองด้านบน
*** หมายเหตุ ทางเดินขึ้นหมู่บ้านเป็นสะพานยาว และลาดชัน ระยะทางประมาณ 700 เมตร ไม่แนะนำให้ท่านที่มีปัญหาเกี่ยวกับขา หัวเข่า เดินขึ้น หรือผู้สูงอายุ หรือวิลแชร์ **
- อิสระท่านตามอัธยาศัย จากนั้นได้เวลานัดหมายนำท่านกลับลงสู่ด้านล่าง
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
- จากนั้นนำท่านเดินทางสู่เมือง มอนเตปุลเชียโน (Montepulciano) (ระยะทาง 85 กม. ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. 25 นาที) เป็นเมืองที่มีความสวยงามอีกแห่งของทัสคานี ตั้งอยู่บนเนินเขาในจังหวัดเซียน่าของอิตาลีทางตอนใต้ ที่นี่เป็นเมืองยุคกลางที่เต็มไปด้วยพระราชวังยุคเรอเนสซองส์ที่สง่างาม โบสถ์โบราณจัตุรัสที่มีเสน่ห์ และมุมสวยๆที่ซ่อนอยู่ โดยมีทัศนียภาพกว้างไกลของหุบเขาVal d’Orcia และหุบเขา Val di Chiana ล้อมรอบ เมือง Montepulciano ได้รับความสนใจอย่างมาก เพราะเป็นหนึ่งในสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์อันโด่งดัง เรื่อง Twilight: New Moon ทำให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาตามรอยกันอย่างคึกคัก นอกจากทัศนียภาพอันน่าทึ่งของเมืองชนบทโดยรอบที่ปกคลุมไปด้วยไร่องุ่นแล้ว เมืองแห่งนี้ก็มีชื่อเสียงด้านอาหารการกิน ขึ้นชื่อในเรื่องเนื้อหมู ชีส พาสต้า น้ำผึ้ง และสิ่งที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก คือ ไวน์ Montepulciano ซึ่งถือเป็นหนึ่งในไวน์ชั้นเลิศของอิตาลี
- นำท่านเดินเล่นเมืองมอนเตปุลเชียโน
- จากนั้นนำท่านเดินทางสู่เมือง เซียน่า (SIENA) หรือเมืองซีเอน่า (ระยะทาง 65 กม. ใช้เวลาประมาณ 1 ชม.) เมืองใหญ่อันดับ 2 ในแคว้นทัสคานี ถือเป็นเมืองในยุคกลางที่ถือว่าเป็นเมืองคู่แข่งของเมืองฟลอเรนซ์ เมืองเซียน่ายังได้รับการยอมการประกาศเป็นเมืองมรดกโลก (Unesco) อีกด้วย เนื่องจากความเก่าแก่และความสวยงามและการอนุรักษ์ไว้อย่างดีของชาวเมืองเซียน่า
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
FOUR POINTS BY SHERATON SIENA หรือระดับเทียบเท่า 4 ดาว (พัก 2 คืน)
หมายเหตุ : เซียน่า มีโรงแรมจำกัดและห้องพักมีขนาดเล็ก หากโรงแรมเต็มทางบริษัทขอสงวนสิทธิ์ย้ายไปพักเมืองข้างเคียง
เซียน่า - Val D’Orcia - Wine Tasting - ปิเอนซ่า - เซียน่า
รับประทานอาหารเช้าแบบอเมริกัน ณ โรงแรมที่พัก
- นำท่านออกเดินทางสู่เส้นทาง วาดอร์เซีย (Val D’Orcia) เส้นทางที่ว่ากันว่าสวยที่สุดในแคว้นทัสคานีระหว่างทางท่านจะได้เห็นวิวท้องทุ่ง ที่มีบ้านชาวนา และต้นไซเปรซ ที่ยืนเด่นตามแนวท้องทุ่งได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลก (Unesco) ให้เป็น World Cultural Landscape ซึ่งหลายๆทิวทัศน์แห่งนี้ถูกเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนต์ของ Hollywood
- ให้ท่านได้เพลิดเพลินวิวตลอดสองข้างทาง
- จากนั้นนำท่านเข้าชมโรงงานบ่มไวน์ ให้ท่านได้ชมกรรมวิธีการบ่มไวน์ และชิมไวน์ (Wine Tasting) ที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก อย่างไวน์ Brunello di Montalcino หรือ Chianti Classico จากนั้นให้ท่านได้เลือกซื้อไวน์ตามอัธยาศัย
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
- จากนั้นนำท่านสู่เมือง ปีเอนซ่า (Pienza) หรือเพียนซ่า (ระยะทาง 23 กม. ใช้เวลาประมาณ 30 นาที) เมืองปีเอนซ่า เป็นเมืองเล็กๆที่สวยงามยุคเรอเนสซองซ์ เป็นหมู่ที่นักท่องเที่ยวต่างหลงไหล เดิมมีชื่อเรียกว่า Corsignano และเป็นบ้านเกิดของ Pope Pius II ซึ่งได้รับคัดเลือกให้เป็นพระสันตะปาปาในปี ค.ศ.1458 หลังจากได้รับตำแหน่งเมืองนี้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ทั้งหมดและเปลี่ยนมาเป็นชื่อปีเอนซ่า หรือเพียนซ่า เพื่อเป็นเกียรติศักดิ์แก่ตนเอง
- นำท่านเดินเล่นถ่ายรูปกับพระราชวังองค์สันตะปาปา บ้านเรือนที่ยังคงถูกอนุรักษ์ไว้อย่างดี ซึ่งยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก (Unesco)
- จากนั้นให้ท่านได้ชมวิวจากตัวเมืองมองลงไปเห็นท้องทุ่งแห่งแคว้นทัสคานี และ เลือกซื้อสินค้าตามอัธยาศัย จนกระทั่งได้เวลาพอสมควร
- นำท่านเดินทางกลับสู่โรงแรมที่พัก
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
FOUR POINTS BY SHERATON SIENA หรือระดับเทียบเท่า 4 ดาว
หมายเหตุ : เมืองเซียน่า มีโรงแรมจำกัดและห้องพักมีขนาดเล็ก หากโรงแรมเต็มทางบริษัทขอสงวนสิทธิ์ย้ายไปพักเมืองข้างเคียง
เซียน่า - ซาน จิมิยาโน - วาเลียโจ
รับประทานอาหารเช้าแบบอเมริกัน ณ โรงแรมที่พัก
- นำท่านเข้าสู่จตุรัส เดล คัมโป (Piazza del Campo) เป็นจตุรัสใจกลางเมืองที่บ่งบอกประวัติศาสตร์ของเมืองเซียน่าได้เป็นอย่างดี และได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในจตุรัสที่สมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญๆ จำนวนมาก
- นำท่านเข้า ชมมหาวิหารเมืองเซียน่า (Duomo di Siena) มหาวิหารประจำเมืองเซียน่า ที่ถูกสร้างขึ้นในปี 1200 ด้วยสไตล์กอธิคและเรเนซองส์ ที่ประดับประดาตกแต่งอย่างวิจิตรอลังการและสวยงามมาก โดยเฉพาะด้านในของตัววิหารที่บอกเล่าเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับเมืองเซียน่าไว้ได้อย่างสวยงามและเป็นโบสถ์ 1 ใน 5 โบสถ์ที่สวยที่สุดในประเทศอิตาลี อีกด้วย
- จากนั้นชมเมืองเก่าเซียน่า (SIENA OLD TOWN) ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก้ในปี 1995 (UNESCO) ชมความเป็นเมืองเก่าสมัยฟื้นฟูศิลปะวิทยาการหรือยุคเรอเนสซองส์ เต็มไปด้วยอาคารต่างๆ โบสถ์ และพิพิธภัณฑ์ และสัมผัสบรรยากาศของประวัติศาสตร์และร้านค้ามากมาย เซียน่าเป็นเมืองคู่แข่งของฟลอเรนซ์ในเรื่องของศิลปะและสถาปัตยกรรม
(หมายเหตุ : การเปิด-ปิดให้เข้าชมโบสถ์ หากกรณีมีการประกอบพิธีสำคัญไม่อนุญาติให้เข้าชมด้านในโบสถ์ ทางบริษัทขอสงวนสิทธิ์ให้ถ่ายรูปด้านนอกเท่านั้น)
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารจีน
- นำท่านเดินทางต่อสู่เมือง ซาน จิมิยาโน (SAN GIMIGNANO) (ระยะทาง 45 กม. ใช้เวลา 1 ชม.) เมืองเล็กๆ ที่มีทิวทัศน์งดงามที่สุดในแคว้นทัสคานี ตั้งอยู่บนเนินเขาที่ล้อมรอบด้วยกำแพงเมืองโบราณ เป็นเมืองแห่งสุดยอดสถาปัตยกรรมของยุคกลาง โดยเฉพาะหอคอยสูงตระหง่าน 14 หอ ที่สามารถมองเห็นได้แม้อยู่ห่างจากตัวเมืองหลายกิโลเมตร เป็นเมืองเดียวในอิตาลี่ที่สามารถอนุรักษ์สิ่งก่อสร้างและสถาปัตยกรรมยุคกลางไว้ได้อย่างครบถ้วนจนได้รับการประกาศเป็นเมืองมรดกโลกโดยองค์กร (UNESCO)
- นำท่านถ่ายรูปกับโบสถ์ประจำเมือง (SAN GIMIGNANO DUOMO) โบสถ์หลักประจำเมืองตั้งอยู่ในจัตุรัสดูโอโม (PIAZZA DEL DUOMO) ภายในมีการตกแต่งแบบโรมาเนสก์ และมีภาพเฟรสโกตกแต่งกำแพงภายในโบสถ์ที่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนา ชมภายนอกพระราชวังโปโปโล (POPOLO PALACE) อดีตเป็นที่ตั้งของศาสนา คริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ทรงกระบอก 8 ชั้น สร้างด้วยหินอ่อนสีขาว สูง 55.86 เมตร น้ำหนักรวม 14,500 ตัน มีบันได 293 ขั้น เอียง 3.97 องศา ยอดของหอห่างจากแนวตั้งฉากประมาณ 3.9 เมตร ชม La Rocca ป้อมโบราณสมัยศตวรรษที่ 14
- จากนั้นนำท่านเดินทางสู่เมืองวาเลียโจ (Viareggio) (ระยะทางประมาณ 103 กม ใช้เวลา 1.20 ชม.)
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
PALACE HOTEL VIAREGGIO หรือระดับเทียบเท่า 4 ดาว (พัก 2 คืน)
หมายเหตุ : โรงแรม มีจำกัดหากเต็มทางบริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการไปนอนเมืองข้างเคียง
วาเลียโจ - ลา สเปเซีย - หมู่บ้านชิงเกว่ แตร์เร - วาเลียโจ
รับประทานอาหารเช้าแบบอเมริกัน ณ โรงแรมที่พัก
- จากนั้นนำท่านเดินทางสู่เมือง ลา สเปเซีย (La Spezia) เมืองท่าที่เป็นประตูสู่ 5 หมู่บ้านริมทะเลที่สวยที่สุดในโลก) (ระยะทางประมาณ 60 กิโลเมตร ใช้เวลา 1 ชม.)
- จากนั้นนำท่านนั่งรถไฟสู่หมู่บ้าน ชิงเกว่ แตร์เร (CINQUE TERRE) หมู่บ้านเล็กๆที่ตั้งอยู่บน ชายฝั่งริเวียร่าของอิตาลี CINQUE TERRE มีความหมายว่า ห้าดินแดน (FIVE LANDS) ประกอบด้วยหมู่บ้าน 5 แห่งได้แก่ VERNAZZA,MANAROL, RIOMAGGIORE,CORNIGLIA. MONTEROSSO AL MARE โดยทั้งห้าหมู่บ้านนี้มีหุบเขาล้อมรอบประกอบกันเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติฯ และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก้ด้วย (UNESCO) เรานำท่านชมหมู่บ้านเพียงบางส่วนเท่านั้น เช่น
- หมู่บ้าน MANAROLA
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
- หมู่บ้าน RIOMAGGIORE
- จากนั้นได้เวลานำท่านเดินทางกลับสู่โรงแรมที่พัก
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
PALACE HOTEL VIAREGGIO หรือระดับเทียบเท่า 4 ดาว
วาเลียโจ - THE MALL OUTLET LUXURY - ฟลอเรนซ์ - รูปปั้นเดวิด - จัตุรัส Michelangelo
รับประทานอาหารเช้าแบบอเมริกัน ณ โรงแรมที่พัก
- จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ THE MALL OUTLET LUXURY เอาท์เลตจำหน่ายสินค้าแบรนด์เนมราคาถูก ถือเป็น outlet ดีอันดับต้นๆ ของยุโรป มีแบรนด์เนมหลากหลายยี่ห้อให้ท่านได้เลือก อาทิ เช่น GUCCI , PRADA ,BOTTEGA VENETA , BURBERRY, VALENTINO, VERSACE , TOD’S เป็นต้น (ระยะทาง 136 กม. ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. 30 นาที)
ทางบริษัทคืนท่าน 30 Eur ให้ท่านเลือกรับประทานอาหารตามอัธยาศัย
- จากนั้นนำท่านเดินทางสู่เมือง ฟลอเรนซ์ (FLORENCE) (ระยะทาง 35 กิโลเมตร ใช้เวลา 40 นาที) เมืองที่ได้ขึ้นชื่อว่าหากมาอิตาลีแล้วไม่ได้มาเยือนฟลอเรนซ์ก็เหมือนว่ายังมาไม่ถึงอิตาลีอย่างแท้จริง เมืองสวยอันดับ 1 ของอิตาลี เมืองเก่าที่มีความเจริญสูงสุดในศตวรรษที่ 13-16 เมืองที่ถือเป็นต้นกำเนิดของชาวอิตาลี เป็นเมืองที่ยังคงความสวยงามและมีการอนุรักษ์ไว้ได้อย่างดี เมืองทั้งเมืองเต็มไปด้วยศิลปะ โดยเฉพาะศิลปะยุคเรเนสซองส์เป็นยุคที่ศิลปะเฟื่องฟูที่สุด โดยที่นี้ยังเป็นเมืองเกิดของเหล่าศิลปินอัจฉริยะของโลกมากมายไม่ว่าจะเป็น ลีโอนาโด ดาวินชี่,ไมเคิลแองเจิลโล,กาลิเลโอ ,ดังเต้,และศิลปินชื่อดังอีกมากมาย จึงถือว่าเป็นเมืองที่มีความสำคัญ และเป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกอยากมาเยือนสักครั้งหนึ่งในชีวิต เป็นเมืองที่ว่ากันว่ามีวิวทิวทัศน์ที่สวยงามที่สุดในประเทศอิตาลี
- จากนั้นนำท่านสู่ Accademia Gallery ที่ตั้งปัจจุบันของ ประติมากรรมเดวิด (David) เป็นหินอ่อนแกะสลักรูป พระเจ้าเดวิด (King David) ตามตำนานในคำภีร์ไบเบิล ลักษณะเป็นชายหนุ่มยืนเปลือยกาย แสดงให้เห็นถึงความแข็งแรงและความงดงามของร่างกายมนุษย์ โดยศิลปินชื่อ มิเคลันเจโล โดยเริ่มแกะสลักเดวิดในปี 1501 สูง 14 ฟุต 3 นิ้ว โดยใช้หินอ่อนสีขาวมาจากเมืองคาร์รารา (Carrara) แคว้นทัสคานีของอิตาลี ประติมากรรมเดวิดเป็นรูปปั้นนับเป็นผลงานชิ้นเอกที่แสดงถึงความรุ่งเรืองทางศิลปะในยุค “ฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ” (Renaissance) ถือเป็นอีกหนึ่งผลงานของมิเคลันเจโล ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก จนทำให้ผู้คนจากทั่วโลกอยากมาชมผลงานประติมากรรมเดวิดให้ได้สักครั้งในชีวิต
- นำท่าน ชมจตุรัสซินยอเรตตา จตุรัสกลางเมืองซึ่งปัจจุบันเป็นศาลาว่าการเมือง ณ จตุรัสแห่งนี้ท่านจะได้พบกับศิลปะมากมาย อาทิเช่น รูปปั้นเดวิดจำลอง ที่เหมือนของจริงทุกประการชมสถาปัตยกรรมอันโดดเด่นของเมืองและไม่มีที่ไหนเหมือน
- จากนั้นนำท่านถ่ายรูปกับ มหาวิหารซานตามาเรีย เดลฟิออเร มหาวิหารที่มียอดโดมขนาดใหญ่เป็นอีกหนึ่งสัญญาลักษณ์ของเมือง หอศีลจุ่มที่มีความสวยความงาม
- จากนั้นนำท่าน ชมสะพานเวคคิโอ หรือสะพานทองคำ สะพานข้ามแม่น้ำอาร์โน แห่งแรกของเมือง
- จากนั้นนำท่านเดินทางสู่เนินเขา Piazzale Michelangelo เพื่อชมวิว 360 องศาของเมือง Florence ที่นักท่องเที่ยวรวมไปถึงชาว Florence เอง มักขึ้นมาชมบรรยากาศในมุมสูงของเมือง ซึ่งจะเห็นหลังคาสีแดงของอาคารบ้านเรือนต่างๆ รวมไปถึง Duomo เรียงรายกันเป็นแนวสวยงามยิ่งนัก อิสระให้ท่านเก็บภาพประทับใจตามอัธยาศัย
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
NILHOTEL FLORENCE หรือระดับเทียบเท่า 4 ดาว
หมายเหตุ : โรงแรมในเมือง Florence มีจำกัดและห้องพักมีขนาดเล็กหากเต็มทางบริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการไปนอนเมืองข้างเคียง
ฟลอเรนซ์ - ซานมาริโน
รับประทานอาหารเช้าแบบอเมริกัน ณ โรงแรมที่พัก
- นำท่านเดินทางสู่ เมืองซานมาริโน (San Marino) (ระยะทาง 200 กิโลเมตร ใช้เวลา 3 ชม. 30 นาที) เป็นรัฐอิสระของประเทศอิตาลีที่มีอายุยาวนานมาถึง 1,700 ปี มีเนื้อที่เพียง 61.5 ตารางกิโลเมตร ถือว่าที่นี่เป็นประเทศที่มีขนาดเล็กอันดับสามของยุโรป ซานมารีโนได้ชื่อว่าเป็นประเทศสาธารณรัฐที่มีอำนาจอธิปไตยเก่าแก่ที่สุดในโลก ดินแดนแห่งนี้ไม่เคยถูกปกครองในรูปแบบราชอาณาจักรที่มีกษัตริย์เป็นประมุข มีประวัติศาสตร์สืบย้อนไปถึงปี 301 เมื่อซานมารีโนประกาศวันก่อตั้งสาธารณรัฐ ในวันที่ 3 กันยายน ค.ศ. 301 ศูนย์กลางเมืองเก่าของซานมารีโนและภูเขาติตาโน ซึ่งอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 750 เมตร ได้รับการจารึกไว้ในรายชื่อมรดกโลกขององค์การยูเนสโก (UNESCO) ตั้งแต่เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ. 2008
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
- นำท่านชม หอคอยกัวอิตา (Guaita) เป็นป้อมปราการที่เก่าแก่ที่สุดและเป็นที่รู้จักมากที่สุด สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 11 รวมทั้งยังทำหน้าที่เป็นเรือนจำในช่วงเวลาสั้น ๆ หอคอยแห่งนี้ได้รับการบูรณะหลายต่อหลายครั้ง จนกลายเป็นรูปลักษณ์ดังที่เห็นในปัจจุบัน
- จากนั้นชม มหาวิหารซานมารีโน (Basilica of Saint Marinus) โบสถ์ที่ปลูกสร้างตามแบบนีโอคลาสสิกที่ได้รับการนับถือมากที่สุดของซานมารีโน เพราะเป็นสถานที่จัดเก็บอัฐิของนักบุญมารินุส บิดาผู้ก่อตั้งประเทศ ใกล้ ๆ กันคือโบสถ์เซนต์ปีเตอร์ (Chiesa di San Pietro) ที่สวยงามและมีความสำคัญในฐานะสถานที่ฝังศพของนักบุญมารินุส อิสระท่านชมเมืองตามอัธยาศัย
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
GRAND HOTEL SAN MARINO หรือระดับเทียบเท่า 4 ดาว
หมายเหตุ : โรงแรม มีจำกัดหากเต็มทางบริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการไปนอนเมืองข้างเคียง
ซานมาริโน - โบโลญญ่า - เวนิส เมสเตร้
รับประทานอาหารเช้าแบบอเมริกัน ณ โรงแรมที่พัก
- จากนั้นนำท่านเดินทางสู่เมือง โบโลญญ่า (Bologna) เมืองประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงทางด้านท่องเที่ยวและเป็นเมืองหลวงของแคว้นเอมีเลีย-โรมัญญ่า (Emilia-Romagna) 1 ใน 20 แคว้นของประเทศอิตาลี โดยตัวเมืองนั้นตั้งอยู่ในหุบเขาโป ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี โดยตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำโปกับเทือกเขาแอเพนไนน์ นอกจากนี้แล้ว เมืองโบโลญญ่ายังเป็นหนึ่งในเมืองยุคกลางที่ได้รับการเก็บรักษาไว้ดีที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป อีกทั้งยังเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักท่องเที่ยวทั้งในและชาวต่างชาติ ด้วยชื่อเสียงในเรื่องความสวยงาม และยังเป็นที่ตั้งมหาวิทยาลัยที่เก่าที่สุดในโลก คือ University of Bologna ก่อตั้งตั้งแต่ปีคริสตศักราชที่ 1088 อีกด้วย (ระยะทางประมาณ 135 กิโลเมตร ใช้เวลา 2 ชม.)
- จากนั้นนำท่านชมเมืองโบโลญญ่า เริ่มตั้งแต่หอคอยคู่ (Due Torri) หอคอยแห่งนี้ ขึ้นชื่อว่าเป็นหอคอยที่สูงมากของเมืองโบโลญญ่า มีความสูง 97.2 เมตร มีหอคู่กันสูง 48 เมตร ซึ่งสามารถขึ้นไปบนยอดหอคอย เพื่อชมทัศนียภาพที่สวยงามของเมืองแบบพาโนรามาได้ และยังจัดว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองโบโลญญ่า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของป้อมปราการรักษาเมืองในอดีตด้วย
- จากนั้นนำท่าสู่ ลานจัตุรัสกลางเมือง (Piazza Maggiore) ลานแห่งนี้ เป็นอีกหนึ่งจัตุรัสที่สำคัญ ซึ่งมีอาคารเก่าแก่ล้อมรอบอยู่ ตั้งอยู่ในกลางเมืองเก่า มีทั้งที่ทำการเมืองเก่า โบสถ์ต่างๆ ที่สวยงาม ลานน้ำพุเทพเนปจูน และอาคารอื่นๆ ซึ่งมีลวดลายทางสถาปัตยกรรมอันประณีต จนต้องเดินทางมาเที่ยวที่ลานเมืองเก่านี้เป็นอันดับต้นๆ
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารจีน
- นำท่านเข้าชม วิหารนักบุญอุปถัมภ์ (Basilica San Petronio) ที่นี่เป็นมหาวิหารและคริสตจักรของอัครสังฆมณฑลโบโลญญ่า ทางตอนเหนือของอิตาลี ถูกสร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับนักบุญอุปถัมภ์ของเมือง เริ่มก่อสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1390 การออกแบบตกแต่งทางสถาปัตยกรรมต่างๆ ยังถูกรักษาไว้ได้สวยงามเป็นอย่างดี
- อิสระให้ทุกท่านเดินเล่นช้อปปิ้งตามอัธยาศัย
- จากนั้นนำท่านเดินทางสู่เวนิส เมสเตร้ (Venice Mestre) เมืองประตูสู่เกาะเวนิส (ระยะทาง 160 กม. ใช้เวลาเดินทาง 2 ชม.)
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
FOUR POINTS BY SHERATON VENICE MESTRE HOTEL หรือระดับเทียบเท่า 4 ดาว
เวนิส เมสเตร้ - เกาะบูราโน่ - เกาะเวนิส
รับประทานอาหารเช้าแบบอเมริกัน ณ โรงแรมที่พัก
- จากนั้นนำท่านเดินทางต่อสู่ท่าเรือทรอนเชนโต้
- นำท่านล่องเรือสู่ เกาะบูราโน่ (Burano) เกาะแห่งสีสัน คัลเลอร์ฟูล จัดจ้านสุดในอิตาลีเกาะบูราโน่ เป็นอีกสถานที่ยอดนิยม เมื่อนักท่องเที่ยวมาเที่ยวเวนิส ด้วยความโดดเด่นของสีสัน ที่เราจะได้เจอกับบ้านสีสดใส แทบจะทุกเฉดใน pantone ไม่ว่าจะชมพูช็อคกิ้งพิ้ง หรือเขียวนีออน ตัดกันดีกับสีท้องฟ้า และท้องทะเล ตำนานบอกไว้ว่า บูราโน่ เป็นบ้านของชาวประมง และเหตุผลของการทาสีให้สะดุดตาเพื่อให้พวกเขามองเห็นทางกลับบ้านเมื่อมีหมอกปกคลุมทะเลสาบ เนื่องจากบริเวณนั้นมีเกาะในท้องทะเลมากมาย บูราโน่ประกอบด้วยกลุ่มเกาะเล็ก ๆ 4 เกาะ ที่เชื่อมโยงกันด้วยสีสันสะดุดตา และได้รับการอนุรักษ์มาหลายทศวรรษ สาเหตุที่เราเห็นสีของบ้านมีความสดใสตลอดเวลา นั่นเป็นเพราะว่ามีการทาสีใหม่ทุกๆ 2 ปี และที่ทำให้สีสะดุดตามากขึ้น เป็นเพราะทุกๆบ้าน ต้องทำสีที่แตกต่างจากเพื่อนบ้านทั้งสองด้าน
- อิสระท่านเดินเล่นชมเมืองตามอัธยาศัย
- จนกระทั่งได้เวลาพอสมควร นำท่านนั่งเรือสู่เกาะเวนิส เมืองที่ได้รับการยอมรับว่าติดอันดับความโรมแมนติคของโลก
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
- นำท่านเดินเล่นชมเมืองเวนิส นำท่านชมบริเวณจัตุรัสซานมาร์โก (Pianzza San Marco) เป็นที่ตั้งหอระฆังซานมาร์โก (Campanile di San Marco) เป็นหอระฆังสูงถึง 98 เมตร ที่ตั้งอยู่ด้านหน้ามหาวิหารซานมาร์โกค่ะ ที่นี่เป็นอีกแลนด์มาร์คที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายภาพ และยังเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวสามารถเดินขึ้นบันไดไปชมวิวสวยๆ ของเมืองเวนิส จากชั้นบนสุดของหอระฆังได้ทุกวันอีกด้วย
- ถ่ายรูปด้านหน้ากับ มหาวิหารซานมาร์โก้ (San Marco) โบสถ์สำคัญแห่งเมืองเวนิสที่เริ่มสร้างขึ้นครั้งแรกตั้งแต่ ค.ศ.823 ผสมผสานศิลปะของหลายยุคขึ้นไว้ด้วยกัน ตั้งแต่ไบเซนไทน์ โรมาเนสก์ โกธิค จนถึงเรอเนสซองซ์ หลังคาของมหาวิหารซานมาร์โกสร้างแบบโดมสุเหร่าของศาสนาอิสลาม โดมกลางมีขนาดใหญ่ที่สุด ประดับโมเสกสีทองอร่ามตั้งแต่หลังคาจรดพื้น จึงได้รับสมญานามว่า “Church of Gold” มาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 11 เลยทีเดียว
- โบสถ์ซานตามาเรีย เดลลา ซาลูเต (Santa Maria Della Salute) ภาพเวนิสที่เราเห็นกันตามรูปถ่ายต่างๆ มักจะมีโบสถ์แห่งนี้อยู่ด้วยเสมอ เป็นโบสถ์สไตล์บาโรกที่ตั้งอยู่บริเวณปากแกรนด์คาแนล ทางด้านทิศใต้ ก่อนที่จะออกสู่ทะเลสาบค่ะ ภายในโบสถ์จะมีภาพเขียน และประติมากรรมล้ำค่าหลายชิ้น รวมทั้งรูปสลัก Queen of Heaven expelling the Plague ผลงานชิ้นเอกของศิลปิน Josse de Corte อยู่ด้วย
- พระราชวังดอจ (Palazzo Ducale) เป็นพระราชวังสไตล์โกธิคของดยุคผู้ครองเมืองเวนิส ซึ่งสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 9 ภายในพระราชวังประดับด้วยทองคำ และมีภาพจิตรกรรมมากมาย นอกจากความสวยงามโอ่อ่านี้ ชั้นใต้ดินของวัง ยังมีคุกขังนักโทษ ซึ่งถูกเชื่อมด้วยทางเดินแคบๆ ไปยังสะพานข้ามคลองสู่แดนคุมขัง สะพานแห่งนี้จึงมีชื่อเรียกว่า สะพานถอนหายใจ (Ponte dei Sospiri หรือ Bridge of Sighs) ตามอาการของนักโทษที่เดินข้ามสะพานและกำลังจะหมดอิสรภาพนั่นเอง
แถมพิเศษ!!!! ล่องเรือกอนโดล่า ชมวิวเมืองของเวนิส ซึ่งว่ากันว่าหากมาเวนิส แล้วไม่ได้ล่องเรือกอนโดล่าก็เหมือนว่ามาไม่ถึงเวนิสอย่างแท้จริง
หมายแหตุ : รายการนี้อาจมีความจำเป็นที่จะต้องงดการล่องเรืออันเนื่องมาจากสภาพลม ฟ้า อากาศ ไม่เอื้ออำนวยหรือเป็นช่วงเทศกาลสำคัญต่างๆบนเกาะเวนิส
- นำท่านเดินชมเกาะเวนิสกันอย่างเต็มอิ่ม นำท่านชม สะพานรีอัลโต (Ponte di Rialto) เป็นหนึ่งในสะพานข้ามแกรนด์คาแนล ที่นักท่องเที่ยวนิยมแวะมาถ่ายรูปมากที่สุด ซึ่งอีก 2 สะพานที่มีชื่อเสียง คือ Accademia Bridge และ Scalzi Bridge ค่ะ เพราะสะพานแห่งนี้มีความเก่าแก่ที่สุด สร้างขึ้นครั้งแรกด้วยไม้ในปี ค.ศ.1181 เลยทีเดียว ต่อมาได้มีการรื้อ และสร้างใหม่ด้วยหินอย่างที่เห็นในปัจจุบัน นอกจากสะพานรีอัลโตจะเชื่อมระหว่างเกาะ San macro กับเกาะ San polo ของเวนิสด้วย โดยบริเวณตีนสะพานทั้งสองฝั่งยังเต็มไปด้วยร้านอาหาร คาเฟ่ และร้านค้าขายของต่างๆ อีกมากมาย จึงเป็นจุดไฮไลท์ของเมืองที่นักท่องเที่ยวชอบไปกันมาก
- แกรนด์ คาแนล (Grand Canal) หรือเรียกเป็นภาษาอิตาเลียนว่า “คานาเล่ แกรนเด้” เป็นคลองที่มีชื่อเสียงในด้านการท่องเที่ยว และเป็นจุดหมายปลายทางหลักของนักท่องเที่ยวที่อยากล่องเรือกอนโดล่านั่นเอง นักท่องเที่ยวนิยมไปนั่งเรือกอนโดล่าลัดเลาะไปตามคลองต่างๆ ในเวนิส ซึ่งจะผ่านสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญต่างๆ ของเมือง และได้สัมผัสกับความสวยงาม และวิถีชีวิตของชาวเมืองอีกด้วย
- อิสระให้ท่านเดินช้อปปิ้งตามอัธยาศัย จากนั้นได้เวลานัดหมายนำท่านนั่งเรือกลับสู่แผ่นดินใหญ่ เมืองเวนิส เมสเตร้
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
FOUR POINTS BY SHERATON VENICE MESTRE HOTEL หรือระดับเทียบเท่า 4 ดาว
เวนิส เมสเตร้ - เซอร์มิโอเน - โคโม่
รับประทานอาหารเช้าแบบอเมริกัน ณ โรงแรมที่พัก
- นำท่านออกเดินทางสู่ เมืองเซอร์มิโอเน (Sirmione) (ระยะทางประมาณ 150 กิโลเมตร ใช้เวลา 2.15 ชม.) ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี เมืองนี้ถูกล้อมรอบด้วยมหาสมุทรเป็นดั่งเมืองลอยน้ำที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ เพราะยังมีซากปรักหักพังของโบราณสถานหลายร้อยปีก่อนตั้งอยู่ที่นี่ โดยมีฉายาว่าเป็น “ไข่มุกแห่งคาบสมุทรเซอร์มิโอ” และยังเป็นดั่งดั่งเมืองเวนิสสอง เพราะบ้านเมืองในเซอร์มิโอเนยังอยู่ท่ามกลางแหล่งน้ำและด้วยลักษณะภูมิประเทศที่เป็นแหลมยื่นเข้าไปในทะเลสาบการ์ดา (Garda) ที่มีความสวยงาม สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงามกว้างไกลและถูกล้อมรอบด้วยทะเลสาบทั้งสองด้าน ในอดีตเคยเป็นเมืองที่มีผู้คนที่มีฐานะในยุคสมัยโรมันใช้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจและปัจจุบันก็เป็นเมืองพักผ่อนริมทะเลสาบที่ได้รับความนิยมอย่างมาก นอกจากนี้เมืองเซอร์มิโอเนยังเป็นที่รู้จักในด้าน “เมืองสปาที่มีชื่อเสียง” เพราะที่นี่มีน้ำพุร้อนที่มีสรรพคุณที่ช่วยในการรักษาเยียวยา เต็มไปด้วยแร่ธาตุที่บำรุงผิวพรรณและทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้อีกด้วย
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
- นำท่านเดินชมเมือง ให้ท่านได้เลือกซื้อของฝากหรือถ่ายรูปตามอัธยาศัย
- จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ทะเลสาบโคโม่ (Lake Como) (ระยะทางประมาณ 175 กิโลเมตร ใช้เวลา 2.20 ชม.) เป็นทะเลสาบที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของอิตาลี แต่มีชื่อเสียงด้านความสวยงามมาเป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งรอบๆทะเลสาบจะมีเมืองตากอากาศกระจายตัวอยู่หลายๆเมืองที่เป็นที่นิยมทั้งกับชาวอิตาลีและชาวต่างชาติ ทะเลสาบโคโม่แห่งนี้นั้นตั้งอยู่ในจังหวัดโคโม่ แคว้นลอมบาร์เดีย ที่นอกจากจะได้ขึ้นชื่อว่าเป็นทะเลสาบที่สวยที่สุดในอิตาลี โดยมีความยาวโดยรอบถึง 160 กิโลเมตร บวกกับพื้นที่รอบๆ ทะเลสาบถึง 146 ตารางกิโลเมตร
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
BARCHETTA EXCELSIOR HOTEL COMO หรือระดับเทียบเท่า 4 ดาว
โคโม่ - เวโรน่า - ทะเลสาบโคโม่ - วาเรนน่า - เบลลาจิโอ - สนามบิน
รับประทานอาหารเช้าแบบอเมริกัน ณ โรงแรมที่พัก
- จากนั้นนำท่านเดินทางสู่เมือง วาเรนน่า (Varenna) เป็นจุดหมายปลายทางที่มีวิถีชีวิตแบบเรียบง่าย ผู้ที่มาเที่ยวพักผ่อนที่นี่มาเพื่อผ่อนคลายริมทะเลสาบ เป็นเมืองเก่าพันปี เป็นหมู่บ้านชาวประมงโบราณ เมืองนี้นักท่องเที่ยวชอบมากันเป็นเมืองที่สวยทีสุดในทะเลสาบโคโม่ บ้านเรือนเรียงรายสีสันสวยงาม เป็นย่านที่มีร้านอาหาร ร้านช้อปปิ้ง และคนมักนิยมมาดูพระอาทิตย์ตกกันที่นี่ เมืองวาเรนน่า ได้รับการขนานนามว่าเป็นทางเดินแห่งรัก เพราะทุกทางที่เดินสุดโรแมนติกทุกมุม
- อิสระให้ท่านเดินเล่นชมเมืองวาเรนนาตามอัธยาศัย
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
- นำท่านนั่งเรือข้ามฟากสู่เมือง เบลลาจิโอ (Bellagio) เมืองเล็กๆ ริมทะเลสาบโคโม่ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นทะเลสาบที่สวยงามที่สุดของอิตาลี ทางตอนเหนือของทะเลสาบคือเทือกเขาแอลป์ อันเปรียบเสมือนป้อมปราการทางธรรมชาติ ที่สร้างฉากหลังอันงดงามอลังการให้กับดินแดนแห่งนี้ เบลลาโจตั้งอยู่ปลายบนของคาบสมุทร โดยถูกแบ่งออกโดยแขนสองข้างทิศใต้ของทะเลสาบ เมืองสามารถเห็นเทือกเขาแอลป์ ทางทิศเหนือได้อีกด้วย
- จากนั้นนำท่านเดินชมเมืองเบลลาจิโอ ให้ท่านได้เดินเล่น เลือกซื้อของที่ระลึกของฝากตามอัธยาศัย
- จากนั้นได้เวลานำท่านเดินทางสู่ท่าอากาศยานมิลาโนมัลเปนซา
- 22.20 น. ออกเดินทางสู่กรุงเทพฯ โดยสายการบินเอมิเรตส์ แอร์ไลน์ (EK) เที่ยวบินที่ EK092
***หมายเหตุไฟล์ทบินอาจมีการเปลี่ยนแปลง***
ดูไบ - สนามบินสุวรรณภูมิ - กรุงเทพฯ
- 06.25 น. เดินทางถึงสนามบินดูไบ (แวะเปลี่ยนเครื่อง)
- 09.40 น. ออกเดินทางสู่กรุงเทพฯ โดยสายการบินเอมิเรตส์ เที่ยวบิน EK 372
- 18.55 น. เดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิ กรุงเทพมหานคร โดยสวัสดิภาพ