ทัวร์อิตาลีเหนือ (อันซีน)



รายละเอียดโปรแกรมทัวร์-ทัวร์อิตาลีเหนือ (อันซีน)

รหัสทัวร์ : UNSEEN NORTH ITALY 11 DAYS (EK)
ระยะเวลา 11 วัน 8 คืน
สายการบิน :

กำหนดการเดินทาง

รอบที่ วันเดินทาง ราคา
1 19 ต.ค. 66 - 29 ต.ค. 66 189,900 บาท

สถานที่สำคัญ

  • 1
    ชมหมู่บ้าน Civita di Bagnregio อายุเก่าแก่กว่า 2,000ปี ! (Unseen)
  • 2
    ชมหมู่บ้าน Cinque Terre หมู่ชาวประมงบ้านริมหน้าผา ที่สวยที่สุดในโลก
  • 3
    ชมรัฐอิสระ San Marino ประเทศเล็กๆที่ซ่อนตัวอยู่ในอิตาลี
  • 4
    ชมเส้นทาง Val D’Orcia เส้นทางท้องทุ่งสุดสวยของแคว้นทัสคานี ที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก (Unesco) (Unseen)
  • 5
    ชมเมือง Sirmione เมืองสุดสวยริมทะเลสาบการ์ดา หนึ่งในทะเลสาบที่สวยที่สุดในอิตาลี
  • 6
    ชมหมู่บ้าน Pienza หมู่บ้านบนเนินเขาในท้องทุ่งสุดสวยของทัสคานี (Unesco) (Unseen)
  • 7
    ชมหมู่บ้าน Montepulciano หมุ่บนเนินเขาสุดสวยในท้องทุ่งทัสคานี
  • 8
    ชมเมือง Ravenna เมืองแห่งสถาปัตยกรรมโมเสก
  • 9
    ชมเมือง Siena เก่าโบราณแห่งแคว้นทัสคานี สไตล์อิตาลี
  • 10
    ชมเมือง Verona เมืองต้นกำเนิดนิยายรัก โรมิโอ & จูเลียต
  • 11
    ชมเมือง Milan เมืองแห่งแฟชั่นของโลก
  • 12
    นำท่านชิมและชมการบ่มไวน์ ( Wine Tasting) ไวน์ที่มีชื่อเสียงแห่งแคว้นทัสคานี

HappyLongWay
ขอนำเสนอโปรแกรมทัวร์ยุโรป
ทัวร์อิตาลีเหนือ อันซีน 11 วัน 8 คืน
MILAN – CINQUE TERRE – TUSCANY – SAN MARINO – SIRMIONE
โดยสายการบินเอมิเรตส์ EK

DAY1

สนามบินสุวรรณภูมิ - กรุงเทพฯ

  • 23.30 น. คณะพร้อมกัน ณ สนามบินสุวรรณภูมิ อาคารผู้โดยสารขาออก ชั้น 4 เคาน์เตอร์ T ประตู 9-10 สายการบินเอมิเรตส์ แอร์ไลน์ (EK) เจ้าหน้าที่บริษัทฯ คอยให้การต้อนรับพร้อมอำนวยความสะดวก ด้านสัมภาระ
DAY2

ดูไบ – มิลาน - เซอร์มิโอเน

  • 03.30 น. ออกเดินทางสู่ นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยสายการบินเอมิเรตส์  เที่ยวบิน EK 385
  • 06.50 น. เดินทางถึงสนามบินดูไบ (แวะเปลี่ยนเครื่อง)
  • 09.45 น. ออกเดินทางสู่ กรุงมิลาน ประเทศอิตาลี โดยสายการบินเอมิเรตส์  เที่ยวบิน EK 205
  • 14.20 น. ถึงท่าอากาศยานมิลาน-มัลเปนซาประเทศอิตาลี
  • นำท่านออกเดินทางสู่ เมืองเซอร์มิโอเน (Sirmione) ( ระยะทางประมาณ 175กิโลเมตร ใช้เวลา 2ชม. ) ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี เมืองนี้ถูกล้อมรอบด้วยมหาสมุทรเป็นดั่งเมืองลอยน้ำที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ เพราะยังมีซากปรักหักพังของโบราณสถานหลายร้อยปีก่อนตั้งอยู่ที่นี่ โดยมีฉายาว่าเป็น “ไข่มุกแห่งคาบสมุทรเซอร์มิโอ” และยังเป็นดั่งดั่งเมืองเวนิสสอง เพราะบ้านเมืองในเซอร์มิโอเนยังอยู่ท่ามกลางแหล่งน้ำและด้วยลักษณะภูมิประเทศที่เป็นแหลมยื่นเข้าไปในทะเลสาบการ์ดา (Garda) ที่มีความสวยงาม สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงามกว้างไกลและถูกล้อมรอบด้วยทะเลสาบทั้งสองด้าน ในอดีตเคยเป็นเมืองที่มีผู้คนที่มีฐานะในยุคสมัยโรมันใช้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจและปัจจุบันก็เป็นเมืองพักผ่อนริมทะเลสาบที่ได้รับความนิยมอย่างมาก นอกจากนี้เมืองเซอร์มิโอเนยังเป็นที่รู้จักในด้าน “เมืองสปาที่มีชื่อเสียง” เพราะที่นี่มีน้ำพุร้อนที่มีสรรพคุณที่ช่วยในการรักษาเยียวยา เต็มไปด้วยแร่ธาตุที่บำรุงผิวพรรณและทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้อีกด้วย                                                                      Sirmione, Lake Garda – Your 2023 Complete Guide (+ Map & Tips!) - Mom In Italy

รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
EDEN HOTEL SIRMIONE หรือระดับเทียบเท่า  4 ดาว

** หมายเหตุ โรงแรมเมือง Sirmione มีจำกัด หากเต็มทางบริษัทขอสงวนสิทธิ์พักเมืองข้างเคียง**

DAY3

เซอร์มิโอเน - เวโรน่า - โบโลญญา

รับประทานอาหารเช้าแบบอเมริกัน ณ โรงแรมที่พัก 

  • นำท่านล่องเรือทะเลสาบการ์ดา (Garda Lake) เป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดของอิตาลีและเป็นทะเลสาบน้ำจืดที่เกิดจากน้ำแข็งละลายจากเทือกเขาแอลป์ จึงถูกล้อมรอบด้วยทะเลสาบทั้งสองด้านRevisiting the spa town in Northern Italy, 25 years after arriving as a young newly-wed | Short & City breaks | Travel | Express.co.uk
  • จากนั้นนำท่านเดินชมเมือง ให้ท่านได้เลือกซื้อของฝากหรือถ่ายรูปตามอัธยาศัย
  • นำท่านเดินทางสู่เมืองเวโรนา (Verona) จุดหมาย แคว้นเวเนโต (Veneto) ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอิตาลี (ระยะทาง 40 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 30นาที) เมืองนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำอะดิเจ (Adige River) เวโรนา เป็นเมืองที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน เมืองนี้เต็มไปด้วยโบราณสถานน่าตื่นตา ไม่ว่าจะเป็นสิ่งปลูกสร้างในสมัยโรมัน โบสถ์วิหารเก่าแก่ หรือแม้แต่บ้านเรือนก่อด้วยอิฐและหิน ด้วยเหตุนี้ใน ค.ศ. 2000 องค์การยูเนสโก (UNESCO) จึงประกาศให้เวโรนาเป็นมรดกโลกอันทรงคุณค่า เนื่องจากสถาปัตยกรรมที่คงอยู่เหนือกาลเวลาในเมืองนี้นั่นเอง                                                  21 Best Things To Do In Verona, Italy - Nomads Unveiled

รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารจีน

  • นำท่านถ่ายรูปกับ บ้านจูเลียต (Juliet’s House) หากมาถึงเวโรนาแล้วไม่ได้มาบ้านจูเลียตแล้วละก็ คงไม่อาจเรียกได้ว่ามาเยือนเมืองนี้อย่างแท้จริง บ้านจูเลียตเป็นอาคารซ้อนชั้นก่อด้วยหินที่สร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 13 แรกเริ่มเดิมที เจ้าของสถานที่แห่งนี้คือตระกูลคาเปลโล (Capello) ผู้ดีเก่าในเมืองเวโรนา พวกคาเปลโลดัดแปลงบ้านให้เป็นสถานที่พักแรมสำหรับขุนนางต่างถิ่นที่มาเยือนอิตาลี การณ์ดำเนินเช่นนี้จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1597 เมื่อบทละครโรมิโอและจูเลียตของเช็กสเปียร์ถูกตีพิมพ์เป็นครั้งแรก ผลงานชั้นครูชิ้นนั้นทำให้ชื่อของเช็กสเปียร์โด่งดังไปทั่วยุโรป                                  Verona: visiting Juliet's balcony and tomb - Wanted in Milan
  • ชมปงเต ปิเอตรา (Ponte Pietra) เป็นภาษาอิตาเลียนที่แปลตรงตัวว่า “สะพานหิน” ปงเต ปิเอตราเป็นสะพานข้ามแม่น้ำอะดิเจที่เก่าแก่ที่สุดในเวโรนา สะพานแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในปีที่ 100 ก่อนคริสตกาลเมื่อครั้งที่เวโรนายังเป็นจังหวัดหนึ่งของโรม สะพานหินทรงโค้งเป็นตัวแทนสถาปัตยกรรมโรมันที่อ่อนช้อยและแข็งแกร่งในเวลาเดียวกัน นักท่องเที่ยวนิยมมาเยี่ยมชมบรรยากาศเงียบสงบริมแม่น้ำอะดิเจ พร้อมกับเก็บภาพความประทับใจกับสิ่งปลูกสร้างสุดคลาสสิก
  • ชมโบสถ์ซันต์ อะนาสตาเซีย (Sant’Anastasia) โบสถ์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในปี 1280 ตามประสงค์ของบาทหลวงเบนเวนูโต ดา อิโมลา (Fra’ Benvenuto da Imola) และบาทหลวงนิโกลา ดา อิโมลา (Fra’ Nicola da Imola) สองนักบวชผู้เผยแผ่คริสต์ศาสนานิกายโดมินิกันในเมืองเวโรนา ซันต์ อะนาสตาเซียเป็น สิ่งปลูกสร้างสไตล์โกธิค (Gothic Architecture) ที่นิยมในครึ่งหลังของยุคกลาง โถงด้านในมีเพดานยกสูง ประดับด้วยปูนปั้นรูปนักบุญ เทวดา และนางฟ้า รวมถึงภาพเขียนสีน้ำมันเก่าแก่ ซันต์ อะนาสตาเซียจึงถือเป็นขุมทรัพย์ล้ำค่าของคนรักศิลปะทั่วโลกเลยก็ว่าได้
  • จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ เมืองโบโลญญา (Bologna) เมืองประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงทางด้านท่องเที่ยวและเป็นเมืองหลวงของแคว้นเอมีเลีย-โรมัญญา (Emilia-Romagna) 1 ใน 20 แคว้นของประเทศอิตาลี โดยตัวเมืองนั้นตั้งอยู่ในหุบเขาโป ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี โดยตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำโปกับเทือกเขาแอเพนไนน์ นอกจากนี้แล้ว เมืองโบโลญญายังเป็นหนึ่งในเมืองยุคกลางที่ได้รับการเก็บรักษาไว้ดีที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป อีกทั้งยังเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักท่องเที่ยวทั้งในและชาวต่างชาติ ด้วยชื่อเสียงในเรื่องความสวยงาม และยังเป็นที่ตั้งมหาวิทยาลัยที่เก่าที่สุดในโลก คือ University of Bologna ก่อตั้งตั้งแต่ปีคริสตศักราชที่ 1088 อีกด้วย (ระยะทางประมาณ 140 กิโลเมตร ใช้เวลา 1.45 ชม.)                              Best Things To Do In Bologna

รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
Best Western Plus Tower Hotel Bologna หรือระดับเทียบเท่า  4 ดาว

DAY4

โบโลญญา - ราเวนนา – ริมินี

รับประทานอาหารเช้าแบบอเมริกัน ณ โรงแรมที่พัก 

  • จากนั้นนำท่านชมเมืองโบโลญญา เริ่มตั้งแต่หอคอยคู่ (Due Torri) หอคอยแห่งนี้ ขึ้นชื่อว่าเป็นหอคอยที่สูงมากของเมืองโบโลญญ่า มีความสูง 97.2 เมตร มีหอคู่กันสูง 48 เมตร ซึ่งสามารถขึ้นไปบนยอดหอคอย เพื่อชมทัศนียภาพที่สวยงามของเมืองแบบพาโนรามาได้ และยังจัดว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองโบโลญญ่า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของป้อมปราการรักษาเมืองในอดีตด้วย                                      19 Top Places to See & Best Things to Do in Bologna, Italy (+Map)
  • นำท่านเข้าชม วิหารนักบุญอุปถัมภ์ (Basilica San Petronio) ที่นี่เป็นมหาวิหารและคริสตจักรของอัครสังฆมณฑลโบโลญญา ทางตอนเหนือของอิตาลี ถูกสร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับนักบุญอุปถัมภ์ของเมือง เริ่มก่อสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1390 การออกแบบตกแต่งทางสถาปัตยกรรมต่างๆ ยังถูกรักษาไว้ได้สวยงามเป็นอย่างดี                                                                                                                                                  The Fascinating Story of San Petronio Church: Will it Ever be Completed? – Taste Bologna
  • ลานจัตุรัสกลางเมือง (Piazza Maggiore) ลานแห่งนี้ เป็นอีกหนึ่งจัตุรัสที่สำคัญ ซึ่งมีอาคารเก่าแก่ล้อมรอบอยู่ ตั้งอยู่ในกลางเมืองเก่า มีทั้งที่ทำการเมืองเก่า โบสถ์ต่างๆ ที่สวยงาม ลานน้ำพุเทพเนปจูน และอาคารอื่นๆ ซึ่งมีลวดลายทางสถาปัตยกรรมอันประณีต จนต้องเดินทางมาเที่ยวที่ลานเมืองเก่านี้เป็นอันดับต้นๆ  อิสระให้ทุกท่านเดินเล่นช้อปปิ้งตามอ้ธยาศัย                                                Piazza Maggiore and the best squares to visit – Bologna Guide

รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารจีน

  • จากนั้นนำท่านเดินทางสู่เมือง ราเวนนา (Ravenna) เป็นเมืองที่อยู่ในแคว้นเอมีเลีย-โรมัญญา ประเทศอิตาลี ราเวนนาเคยเป็นเมืองหลักของจักรวรรดิโรมันตะวันตก และอาณาจักรออสโตรกอท (Ostrogoth Kingdom) ในเวลาต่อมา ปัจจุบันเป็นเมืองหลวงของจังหวัดราเวนนา มีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 652 ตารางกิโลเมตร ราเวนนาเป็นเมืองที่มีเนี้อที่ใหญ่เป็นที่สองของอิตาลีรองจากกรุงโรมเป็นเมืองที่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่เเสนจะสวยงามอีกเเห่งของอิตาลี โดยมีชื่อเสียงอย่างมากในเรื่องของกระจกโมเสก
  • จากนั้นนำท่านชม มหาวิหารแห่งซาน วิตาเล (San Vitale Basilica) ตั้งอยู่กลางเมืองราเวนนา สาธารณรัฐอิตาลี ซึ่งเป็นศูนย์กลางจักรวรรดิไบแซนไทน์ (Byzantine Empire) ในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 6 ในรัชกาลจักรพรรดิจัสติเนียนที่ 1 (Justinian I) มหาวิหารถูกสร้างขึ้นตามบัญชาของบิชอปเอเคลซิโอ (Ecclesio) ในปี ค.ศ. 532 และเสร็จสมบูรณ์ในสมัยของบิชอปแมกซีเมียนนุส (Maxmianus) บิชอปแห่งราเวนนา คนต่อมา ภายใต้การอุปถัมภ์ของจูลิอุส อาเจนตาริอุส (Julius Argentarius) นายธนาคาร ผู้มีบทบาทสำคัญในการสร้างอารามหลายแห่งในเมืองราเวนนา อย่างมหาวิหารแห่งซานอะโพลินาเรที่คลาสเซ (Basilica di Sant’Apollinare in Classe) ในปี ค.ศ. 549 อาคารทั้ง 2 ถือเป็นตัวอย่างสำคัญของสถาปัตยกรรมในสมัยคริสเตียนตอนต้น (Early Christian Architecture) ที่ยังคงสภาพสมบูรณ์มาจนถึงปัจจุบัน                                                                                                                File:Basilica di San Vitale, Ravenna, Italia (1).JPG - Wikimedia Commons
  • มหาวิหารมีผังรูปแปดเหลี่ยม ประกอบด้วยโถงกลาง ล้อมรอบด้วยระเบียงทางเดิน (Ambulatory) และมุขโค้ง (Apse) ซึ่งเป็นที่ตั้งของแท่นบูชาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ พื้นที่ตรงกลางเป็นโถงสูงคลุมด้วยหลังคาโดม และมีการเจาะช่องแสงด้านบน (Clerestory) เพื่อให้ความสว่างแก่พื้นที่ภายใน โครงสร้างของอาคารยังคงแสดงการออกแบบที่ซับซ้อนซึ่งเป็นมรดกจากวิทยาการของสถาปัตยกรรมโรมัน อย่างการใช้โค้ง (Arch) โค้งประทุน (Barrel Vault) และโดม รวมถึงการมีระเบียงชั้นบน (Gallery) โคยรอบอาคาร และการใช้ค้ำยันลอย (Flying Buttress) ภายนอกอาคาร ตัวอาคารตกแต่งด้วยศิลปกรรมแบบไบแซนไทน์ เช่น การแกะสลักหินบริเวณหัวเสา (Capitals) การประดับหินตามผนัง และพื้นอาคาร ที่โดดเด่นที่สุดคือ การประดับโมเสกแก้ว (Glass Mosaics) บริเวณโถงสูงของแท่นบูชาหลัก ตั้งแต่ฐานไปจนถึงเพดาน โดยแสดงเป็นภาพสัญลักษณ์ต่าง ๆ ของคริสต์ศาสนาในช่วงแรกเริ่ม รวมถึงภาพที่มีชื่อเสียงอย่างภาพเหมือนของจักรพรรดิจัสติเนียนที่ 1 และจักรพรรดินีเธโอโดรา (Empress Theodora) แห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์ บนพื้นหลังสีทอง งานประดับโมเสกทั้งหมดถึงเป็นงานศิลปกรรมดั้งเดิมตั้งแต่แรกสร้างมหาวิหาร
  • จากนั้นนำท่านเข้าชม โบสถ์ศีลจุ่มเนโอเนียน (Neon Baptistery) ในอดีตคือสถานที่ทำพิธีศีลจุ่มอิฐยุคแรกในศตวรรษที่ 5 ในใจกลางเมือง อาคารแปดเหลี่ยมเป็นอาคารที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในราเวนนาและถือว่าเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดและสมบูรณ์แบบที่สุดของโบสถ์คริสเตียนยุคแรกที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน กระเบื้องโมเสคที่เรียงรายเรียงเป็นแถวทั้งโดมซึ่งเป็นเหรียญโมเสคขนาดใหญ่ที่ด้านบนของภาพการล้างบาปของพระเยซูโดย John the Baptist                                                                            Neonian Baptistery
  • จากนั้นนำท่านชม Sant’Apollinare Nuovo โบสถ์นิกายโรมันคาทอริกแห่งนี้ ถูกสร้างขึ้นเวลาเดียวกันกับ Arain Baptistry คือในช่วงปลายๆ ศตวรรษที่ 5 ถึงปลายศตวรรษที่ 6 ตามคำสั่งของ Theodoric  ความงดงามของผนังโมเสส ดึงดูดนักท่องเที่ยวมาสู่มหาวิหาร ซาน อพอลลินาเร นูโอโว มหาวิหารนี้เป็นศาสนสถานที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในราเวนนา และเคยตกเป็นของศาสนาอื่นๆ ก่อนที่จะมาเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักรคาทอลิก มหาวิหารเป็นหนึ่งในมรดกโลกของเมืองราเวนนาที่ได้รับการขึ้นทะเบียนโดยองค์การยูเนสโก นำท่านชมศิลปะภายในวิหาร ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญที่สุดส่วนหนึ่งของที่นี่มหาวิหารนี้สร้างขึ้นเป็นโบสถ์ของลัทธิเอเรียสเพื่อถวายแด่พระเยซูคริสต์ผู้ไถ่บาป โดยพระเจ้าธีโอดอริคมหาราชในต้นศตวรรษที่ 6 ในปี 561 ชาวไบแซนไทน์ได้อุทิศโบสถ์ให้แก่นักบุญมาร์แต็งแห่งตูร์ ผู้เป็นศัตรูของลัทธิเอเรียส ชื่อปัจจุบันของโบสถ์ตั้งขึ้นใน 3 ศตวรรษต่อมา หลังจากที่อัฐิของนักบุญอพอลลินาริสได้รับการย้ายมาที่นี่   Basilica di Sant'Apollinare Nuovo a Ravenna: 7 opinioni e 49 foto
  • จากนั้นนำท่านเดินทางสู่เมืองริมินี (Rimini) หนึ่งในเมืองตากอากาศริมทะเลที่มีชื่อเสียง ของประเทศอิตาลี (ระยะทางประมาณ 55 กิโลเมตร ใช้เวลา 45 นาที)

รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
Astoria Suite Hotel  Rimini หรือระดับเทียบเท่า  4 ดาว

DAY5

ริมินี - รัฐอิสระ ซาน มาริโน – เปรูเกีย

รับประทานอาหารเช้าแบบอเมริกัน ณ โรงแรมที่พัก 

  • นำท่านเดินทางสู่ ซาน มารีโน่ (SAN MARINO) หรือสาธารณรัฐซานมารีโน่(REPUBBLICA DI SAN MARINO) อิสระเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในประเทศอิตาลี ถือเป็นรัฐอิสระเล็กเป็นอันดับ 3 ของโลก  มีประวัติและอิสระภาพเกือบ 2,000 ปี เป็นรัฐอิสระ 1 ใน 2 ที่อยู่ในประเทศอิตาลี ซึ่งอีกประเทศหนึ่งก็คือ รัฐวาติกัน (ระยะทางประมาณ 20 กิโลเมตร ใช้เวลา 30 นาที)                                                                Best Things to Do in San Marino, Europe's Most Underrated Destination – Earth Trekkers
  • จากนั้นนำท่านนั่ง CABLE CAR ขึ้นสู่ยอดเขาอัพเพนนินี ที่ตั้งของเมืองซาน มาริโน                            San Marino & Mount Titano by Cable Car - Selected Tours Italy
  • นำท่านชมตัวเมืองของซานมารีโน่ ตั้งอยู่บนเขาอัพเพนนินี ล้อมรอบโดยแคว้น เอมีเลียโรมาญา  กับแคว้นมาร์เก ของอิตาลี ไม่มีทางออกสู่ทะเล โดยที่ตั้งสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 800 เมตร มีพื้นที่ 61.5 ตารางกิโลเมตร มีประชากรประมาณ 32,000 คนเท่านั้นเองเเละส่วนใหญ่นับถือคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิก โดยมีการปกครองแบบสาธารณรัฐมาตั้งเเต่ก่อตั้งประเทศเมื่อ ค.ศ. 257 นับว่าเป็นประเทศที่ปกครองเเบบสาธารณรัฐที่เก่าเเก่มากที่สุดในโลกที่ยังคงดำรงค์อยู่ถึงปัจจุบัน โดยมีการเเบ่งออกเป็น 9 เขตด้วยกันทั้ง อักกวาวีวา, บอร์โกมัจโจเร, กีเอซานูโอวา, โดมัญญาโน, ฟาเอตาโน, ฟีโอเรนตีโน, มอนเตจาร์ดีโน เเละ แซร์ราวัลเล โดยมี นครซานมารีโน เป็นเมืองหลวง โดยภูมิอากาศของที่นี่จะเป็นในเเบบเมดิเตอร์เรเนียน เเละรายได้หลักของประเทศก็มาจากการท่องเที่ยวเป็นส่วนใหญ่ ซานมารีโน นั้นตั้งอยู่ในภูมิประเทศที่เป็นเทือกเขาสูง ทำให้สามารถรักษาเอกราชมาได้ตลอดระยะเวลาตั้งเเต่ก่อตั้งประเทศขึ้นมา โดยต้องย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 257 เมื่อครั้งที่อาณาจักรโรมันยังรุ่งเรือง เเละคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิก เริ่มเป็นที่เผยเเพร่ในอาณาจักรโรมัน เเต่ยังไม่เป็นที่ยอมรับจากทางการโรมันมากนัก ทำให้เกิดการกวาดล้างชาวคริสต์อยู่ตลอดเวลา จนเป็นเหตุผลที่ทำให้ช่างหินคนหนึ่งที่มีชื่อว่า มารีนุส อพยพหนีการตามล่าของทหารโรมันมายังบริเวณมอนเตตีตาโน ซึ่งก็คือซานมารีโนในปัจจุบันนั่นเอง พร้อมกับได้เริ่มตั้งถิ่นฐานในบริเวณนี้ เนื่องจากคามเป็นภูเขาสูง ห่างไกล เเละทุรกันดาร กองทหารโรมันจึงไม่สนใจในการตามล่าพวกเขา ทำให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุข จนก่อเกิดเป็นรัฐอิสระขึ้นมา เเละภายหลังได้ใช้ชื่อตาม มารีนุส ซึ่งเป็นบุคคลเเรกที่มาตั้งถิ่นฐานบริเวณนี้ เเละต่อมาเขาได้รับการยกย่องเป็นนักบุญองค์หนึ่งในชื่อว่า ซานมารีโน นั่นเอง ด้วยความที่ปราการทางธรรมชาติมากมาย เเละวางตัวเป็นกลางเหนือทุกปัญหาทำให้ซามารีโนกลายเป็นสถานที่ในการหลบภัยของผู้นำหัวก้าวหน้าหลายต่อหลายคนทั้งจูเซ๊ปเป้ การีบัลดี ซึ่งภายหลังเขาเเละกษัตริย์วิตตอรีโอ เอมมานูแอลเลที่ 2 ได้รวมชาติอิตาลีได้สำเร็จ เเละได้มีการทำสนธิสัญญายอมรับความเอกราชของซานมารีโน ในฐานนะรัฐอิสระเเห่งเเรกของอิตาลี หลังจากนั้นซานมารีโนก็ได้เข้าร่วมกับทั้งสหประชาชาติ เเละสหภาพยุโรป จนกลายเป็นอีกหนึ่งประเทศที่สมบูรณ์ในเวทีโลก  นำท่านเข้าสู่บริเวณจัตุรัส Piazza della Libertà เป็นจัตุรัสกลางเมืองหลักที่นักท่องเที่ยวต่างพากันมา โดยบริเวณจัตุรัสเป็นที่ตั้งของอาคารสาธารณะรัฐซานมาริโน โดยจะมีการผลัดเปลี่ยนเวรยามด้านหน้าอาคารด้วย
  • จากนั้นนำท่านถ่ายรูปกับป้อมปราการ Guaita Tower ซึ่งถือเป็นป้อมปราการแรก และมีอายุเก่าแก่มากที่สุด                                                                                                                                              alias balenă idee guaita tower san marino - jaipuriapgdmconf.com
  • จากนั้นให้ท่านเดินเล่นชมเมืองหรือเลือกซื้อสินค้าที่ระลึกตามอัธยาศัย

รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง

  • นำท่านเดินทางสุ่เมืองเปรูเกีย (Perugia) (ระยะทาง 165 กม.ใช้เวลาประมาณ 2.30 ชม.) นำชมเมืองเปรูเกีย เมืองหลวงของแคว้นอุมเบรีย (Umbria) เป็นเมืองแห่งการศึกษามีมหาวิทยาลัยเก่าแก่ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่14 อายุกว่า600ปี เป็นเมืองมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานและครอบคลุมหลายยุคสมัยโบสถ์และอาคารล้วนงดงามด้วยศิลปะการผสมผสานระหว่างยุคโกธิคและเรเนซองส์                            The Best Hotels to Book in Perugia, Italy
  • อิสระให้ท่านเดินชมเมืองตามอัธยาศัย

รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
 Sangallo Palace Perugia Hotel หรือระดับเทียบเท่า  4 ดาว

หมายเหตุ : เมืองเปรูเกีย มีโรงแรมจำกัด หากโรงแรมเต็มทางบริษัทขอสงวนสิทธิ์ย้ายไปพักเมืองข้างเคียง

DAY6

เปรูเกีย - ซิวิตา ดิ แบนอริจิโอ - เซียน่า

รับประทานอาหารเช้าแบบอเมริกัน ณ โรงแรมที่พัก 

  • จากนั้นนำท่านเดินทางสู่หมู่บ้าน ซิวิตา ดิ แบนอริจิโอ ( Civita di Bagnoregio) (Unseen)  (ระยะทาง 80 กม. ใช้เวลาประมาณ 1.20 ชม.) หมู่บ้านเล็กๆ บนเนินเขาในแคว้นลาซิโอ ใกล้ๆกรุงโรม มีการตั้งถิ่นฐานมาตั้งแต่ 2,500 ปี ภายในมีบ้านเรือนที่ทำจากหินอายุหลายร้อยปี มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว  ได้รับการยอมรับว่าคือ เพชรเม็ดงามแห่งแคว้นลาซิโอ มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 100 คนเท่านั้น ยิ่งในฤดูหนาวจะมีประชากรอาศัยอยู่ไม่ถึง 20 คน                                                                                  Civita di Bagnoregio, the medieval town of Lazio - Italia.it
  • นำท่านเดินชมเมือง เลือกซื้อของฝากตามอัธยาศัย

*** หมายเหตุ ทางเดินขึ้นหมู่บ้านเป็นสะพานยาว และลาดชัน ระยะทางประมาณ 700 เมตร ไม่แนะนำให้ท่านที่มีปัญหาเกี่ยวกับขา หัวเข่า เดินขึ้น หรือผู้สูงอายุ หรือวิลแชร์ **

  • อิสระให้ท่านเดินเล่นชมเมืองตามอัธยาศัย
  • จากนั้นได้เวลานำท่านกลับลงมา ที่นัดหมายนำท่านกลับลงสู่ด้านล่าง

รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง

  • จากนั้นนำท่านเดินทางสู่เมือง เซียน่า (SIENA) หรือเมืองซีเอนา เมืองใหญ่อันดับ 2 ในแคว้นทัสคานี (ระยะทาง 130 กม. ใช้เวลา 1.40 ชม.)  อิสระให้ทุกท่านพักผ่อนตามอัธยาศัย

รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารอาหารเมืองพื้นเมือง
 FOUR POINTS BY SHERATON SIENA หรือระดับเทียบเท่า 4 ดาว (พัก 2 คืน)

หมายเหตุ : เมืองเซียน่า มีโรงแรมจำกัด หากโรงแรมเต็มทางบริษัทขอสงวนสิทธิ์ย้ายไปพักเมืองข้างเคียง

DAY7

เซียน่า - Val D’Orcia -มอนเทลชิโน - ปิเอนซ่า - มอนเตปุลเชียโน -เซียน่า

รับประทานอาหารเช้าแบบอเมริกัน ณ โรงแรมที่พัก 

  • นำท่านออกเดินทางสู่เส้นทาง วาดอร์เซีย (Val D’Orcia) เส้นทางที่ว่ากันว่าสวยที่สุดในแคว้นทัสคานีระหว่างทางท่านจะได้เห็นวิวท้องทุ่ง ที่มีบ้านชาวนา และต้นไซเปรซ ที่ยืนเด่นตามแนวท้องทุ่ง ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลก (Unesco)  ให้เป็น World Cultural Landscape  ซึ่งหลายๆทิวทัศน์แห่งนี้ถูกเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนต์ของ Hollywood                                                                                  Val d'Orcia, what to see in southern Tuscany | Valdorciamiata.it
  • ให้ท่านได้เพลิดเพลินวิวตลอดสองข้างทาง
  • นำท่านเดินทางสู่ เมืองมอนเทลชิโน (Montalcino) (ระยะทาง 40 กม. ใช้เวลาประมาณ 45 นาที) เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่รายล้อมไปด้วยไร่องุ่น เป็นที่รู้จักในเรื่องของไวน์ Brunello หนึ่งในไวน์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกจากอิตาลี โรงงานที่ผลิตไวน์นี้ถูกก่อตั้งขึ้นในปี 1888 โดย Ferruccio Biondi Santi ผู้ริเริ่มความคิดที่จะนำองุ่นที่ไม่ใช้แล้วมาดัดแปลงทำอาหารอย่างอื่น เอกลักษณ์ของไวน์ Brunello คือ ขั้นตอนในการทำซึ่งใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปี และ 5 ปี ไวน์นั้นจะต้องถูกเก็บไว้ในถังไม้โอ๊ค เป็นการบ่อมที่ใช้เวลานานพอสมควร ซึ่งไวน์ทั่วไปสามารถดื่มได้ทันทีหลังจากการบ่มเป็นระยะเวลา 1 ปี นอกจากเรื่องไวน์แล้ว มอนเทลชิอาโนยังรุ่มรวยไปด้วยสถาปัตยกรรม ศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์อย่างป้อมปราการ Rocco ซึ่งสร้างในปี 1361 เพื่อเป็นทางผ่านเข้ามอนเทลชิโนภายใต้การปกครองของเมืองเซียนาอีกด้วย จากตัวป้อมปราการสามารถมองเห็นภาพทิวทัศน์ ที่งดงามกว้างไกลได้ตั้งแต่ Monte Amiata ไปจนถึงเมืองเซียนา วาลดอร์เซีย และเนินเขาแห่งมาเร็มมา (The Hills of Maremma)                                             Rosso di Montalcino, Tuscany - Italy Wine Region | Wine-Searcher
  • นำท่านชมเมืองมอนเทลซิโน ชม หอนาฬิกาที่โอบล้อม Palazzo Dei Priori ซึ่งเป็นอาคารอเนกประสงค์ของเมืองรอบ ๆ นั้นจะเป็นย่านจัตุรัส Piazza del Popolo ที่โดดเด่นไปด้วยอัฒจรรย์สไตล์โกธิค ชมปราสาท Vescovile โบสถ์ Sant’ Agostino, Sant’ Egidio และ San Francesco ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสถานที่สำคัญของเมืองนี้อีกด้วย
  • จากนั้นนำท่านเข้าชมโรงงานบ่มไวน์  ให้ท่านได้ชมกรรมวิธีการบ่มไวน์ และชิมไวน์ (Wine Tasting ) ที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก อย่างไวน์ Brunello di Montalcino หรือ Chianti  Classico Visit | Copain Wines

**หมายเหตุ ขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลง หากโรงบ่มไวน์ปิด  ***

รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง

  • จากนั้นนำท่านสู่เมือง ปีเอนซ่า (Pienza) หรือเพียนซา (ระยะทาง 23 กม. ใช้เวลาประมาณ 25 นาที) ระหว่างทางจะผ่านหมู่บ้าน San Quirico d’Orcia หมู่บ้านเล็กๆ บนเส้นทาง Val  D’Orcia แสนสวย ท่านจะได้ชื่นชมวิวของทัสคานีตลอดสองข้างทาง  เมืองปีเอนซ่า เป็นเมืองเล็กๆที่สวยงามยุคเรอเนสซองซ์ เป็นหมู่ที่นักท่องเที่ยวต่างหลงไหล เดิมมีชื่อเรียกว่า Corsignano และเป็นบ้านเกิดของ Pope pius II ซึ่งได้รับคัดเลือกให้เป็นพระสันตะปาปาในปี ค.ศ.1458 หลังจากได้รับตำแหน่งเมือวนี้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ทั้งหมดและเปลี่ยนมาเป็นชื่อปีเอนซา หรือเพียนซา เพื่อเป็นเกียรติศักดิ์แก่ตนเอง นำท่านเดินเล่นถ่ายรูปกับพระราชวังองค์สันตะปาปา บ้านเรือนที่ยังคงถูกอนุรักษ์ไว้อย่างดี ซึ่งเมืองปีเอนซา ยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก (Unesco)                                                                        Pienza - Wikipedia
  • จากนั้นให้ท่านได้ชมวิวจากตัวเมืองมองลงไปเห็นท้องทุ่งแห่งแคว้นทัสคานี และ เลือกซื้อสินค้าตามอัธยาศัย จนกระทั่งได้เวลาพอสมควร
  • จากนั้นนำท่านเดินทางสู่เมือง มอนเตปุลเชียโน (Montepulciano) (ระยะทาง 15 กม. ใช้เวลาประมาณ 25 นาที) เป็นเมืองที่มีความสวยงามอีกแห่งของทัสคานี ตั้งอยู่บนเนินเขาในจังหวัดเซียนาของอิตาลีทางตอนใต้ ที่นี่เป็นเมืองยุคกลางที่เต็มไปด้วยพระราชวังยุคเรอเนสซองส์ที่สง่างาม โบสถ์โบราณจัตุรัสที่มีเสน่ห์ และมุมสวยๆที่ซ่อนอยู่ โดยมีทัศนียภาพกว้างไกลของหุบเขา Val d’Orcia และหุบเขา Val di Chiana ล้อมรอบ เมือง Montepulciano ได้รับความสนใจอย่างมาก เพราะเป็นหนึ่งในสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์อันโด่งดัง เรื่อง Twilight: New Moon ทำให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาตามรอยกันอย่างคึกคัก นอกจากทัศนียภาพอันน่าทึ่งของเมืองชนบทโดยรอบที่ปกคลุมไปด้วยไร่องุ่นแล้ว เมืองแห่งนี้ก็มีชื่อเสียงด้านอาหารการกิน ขึ้นชื่อในเรื่องเนื้อหมู ชีส พาสต้า น้ำผึ้ง และสิ่งที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ก็คือ ไวน์ Montepulciano ซึ่งถือเป็นหนึ่งในไวน์ชั้นเลิศของอิตาลี                                      Montepulciano, Italy - The Quintessential Tuscan Hill Town
  • นำท่านเดินเล่นเมืองมอนเตปุลเชียโน

รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
FOUR POINTS BY SHERATON SIENA หรือระดับเทียบเท่า 4 ดาว

DAY8

เซียน่า - ซาน จิมิยาโน - มอนเตริกจิโอนี - เวียเรจโจ

รับประทานอาหารเช้าแบบอเมริกัน ณ โรงแรมที่พัก 

  • นำท่านชมเมือง เซียน่า (SIENA) หรือเมืองซีเอนา เมืองใหญ่อันดับ 2 ในแคว้นทัสคานี ถือเป็นเมืองในยุคกลางที่ถือว่าเป็นเมืองคู่แข่งของเมืองฟลอเรนซ์ เมืองเซียน่ายังได้รับการยอมการประกาศเป็นเมืองมรดกโลก (Unesco) อีกด้วย เนื่องจากความเก่าแก่และความสวยงามและการอนุรักษ์ไว้อย่างดีของชาวเมืองเซียน่า                                                                                                                                Visit Siena (Tuscany) Italy | Tailor-Made Vacations | Audley Travel CA
  • จากนั้นนำท่านเดินเข้าสู่จตุรัส เดล คัมโป (Piazza del Campo) เป็นจตุรัสใจกลางเมืองที่บ่งบอกประวัติศาสตร์ของเมืองเซียน่าได้เป็นอย่างดี และได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในจตุรัสที่สมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป  ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญๆ จำนวนมาก
  • นำท่านเข้า ชมมหาวิหารเมืองเซียน่า (Duomo di Siena) มหาวิหารประจำเมืองเซียน่า ที่ถูกสร้างขึ้นในปี 1200  ด้วยสไตล์กอธิคและเรเนซองส์ ที่ประดับประดาตกแต่งอย่างวิจิตรอลังการและสวยงามมาก โดยเฉพาะด้านในของตัววิหารที่บอกเล่าเรื่องราวต่างๆเกี่ยวบกับเมืองเซียน่าไว้ได้อย่างสวยงามและเป็นโบสถ์ 1 ใน 5 โบสถ์ที่สวยที่สุดในประเทศอิตาล อีกด้วย                                                            Mosaic Floor of Siena Cathedral: history and facts - Italia.it
  • จากนั้นชมเมืองเก่าเซียน่า (SIENA OLD TOWN) ที่ได้รับการขึ้นทะเบียน เป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก้ในปี 1995 (UNESCO) ชมความเป็นเมืองเก่าสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการหรือยุคเรอเนสซองส์ เต็มไปด้วยอาคารต่างๆ โบสถ์ และพิพิธภัณฑ์ และสัมผัสบรรยากาศของประวัติศาสตร์และร้านค้ามากมาย เซียน่าเป็นเมืองคู่แข่งของฟลอเรนซ์ในเรื่องของศิลปะและสถาปัตยกรรม

(หมายเหตุ : การเปิด-ปิดให้เข้าชมโบสถ์ หากกรณีมีการประกอบพิธีสำคัญไม่อนุญาติให้เข้าชมด้านในโบสถ์ ทางบริษัทขอสงวนสิทธิ์ให้ถ่ายรูปด้านนอกเท่านั้น)

รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง        

  • นำท่านเดินทางต่อสู่ เมืองซาน จิมิยาโน (SAN GIMIGNANO) (ระยะทาง 50 กม. ใช้เวลา 1 ชม.) เมืองเล็กๆ ที่มี ทิวทัศน์งดงามที่สุดในแคว้นทัสคานี ตั้งอยู่บนเนินเขาที่ล้อมรอบด้วยกำแพงเมืองโบราณ เป็นเมืองแห่งสุดยอดสถาปัตยกรรมของยุคกลาง โดยเฉพาะหอคอยสูงตระหง่าน 14 หอ ที่สามารถมองเห็นได้แม้อยู่ห่างจากตัวเมืองหลายกิโลเมตร เป็นเมืองเดียวในอิตาลี่ที่สามารถอนุรักษ์สิ่งก่อสร้างและสถาปัตยกรรมยุคกลางไว้ได้อย่างครบถ้วนจนได้รับการประกาศเป็นเมืองมรดกโลกโดยองค์กร (UNESCO)  San Gimignano, Tuscany: The highlights of this region can all be found in one gorgeous village
  • นำท่านถ่ายรูปกับโบสถ์ประจำเมือง (SAN GIMIGNANO DUOMO) โบสถ์หลักประจำเมืองตั้งอยู่ในจัตุรัสดูโอโม (PIAZZA DEL DUOMO) ภายในมีการตกแต่งแบบโรมาเนสก์ และมีภาพเฟรสโกตกแต่งกำแพงภายในโบสถ์ที่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนา ชมภายนอกพระราชวังโปโปโล (POPOLO PALACE) อดีตเป็นที่ตั้งของศาสนา คริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ทรงกระบอก 8 ชั้น สร้างด้วยหินอ่อนสีขาว สูง 55.86 เมตร น้ำหนักรวม 14,500 ตัน มีบันได 293 ขั้น เอียง 3.97 องศา ยอดของหอห่างจากแนวตั้งฉากประมาณ 3.9 เมตร ชม La Rocca ป้อมโบราณสมัยศตวรรษที่ 14                                        People at Piazza del Duomo in San Gimignano, Italy · Free Stock Photo
  • นำท่านเดินทางสู่ที่พักเมืองเวียเรจโจ (Viareggio) (ระยะทาง 170 กม. ใช้เวลา 2 ชม. 10 นาที) เป็นเมืองและชุมชนในทัสคานีทางตอนเหนือของอิตาลีบนชายฝั่งทะเลติร์เรเนียน

รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
 HOTEL PALACE – VIAREGGIO หรือระดับเทียบเท่า  4 ดาว  (พัก 2 คืน)

หมายเหตุ : โรงแรมมีจำกัด หากโรงแรมเต็ม ทางบริษัทขอสงวนสิทธิ์ย้ายไปพักเมืองข้างเคียง

DAY9

เวียเรจโจ - ลา สเปเซีย - หมู่ชิงเกว่ แตร์เร - ลา สเปเซีย - เวียเรจโจ

รับประทานอาหารเช้าแบบอเมริกัน ณ โรงแรมที่พัก 

  • จากนั้นเดินทางสู่เมือง ลา สเปเซีย (La Spezia ) (ระยะทาง 60 กม. ใช้เวลา 1 ชม. ) เมืองท่าที่เป็นประตูสู่ 5 หมู่บ้านริมทะเลที่สวยที่สุดในโลก
  • นำท่านนั่งรถไฟสู่หมู่บ้าน ชิงเกว่ แตร์เร (CINQUE TERRE) หมู่บ้านเล็กๆที่ตั้งอยู่บน ชายฝั่งริเวียร่าของอิตาลี CINQUE TERRE มีความหมายว่า ห้าดินแดน(FIVE LANDS) ประกอบด้วยหมู่บ้าน 5 แห่งได้แก่ VERNAZZA,MANAROL, RIOMAGGIORE , CORNIGLIA. MONTEROSSO AL MARE โดยทั้งห้าหมู่บ้านนี้มีหุบเขาล้อมรอบประกอบกันเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติฯ และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก้ด้วย (UNESCO) เรานำท่านชมหมู่บ้านเพียงบางส่วนเท่านนั้น  เช่น หมู่บ้าน MANAROLA                                                                                 Manarola, Italy: The Complete Guide

รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง

  • หมู่บ้าน VERNAZZA                                                                                                                    Vernazza: what to see, what to do, where to sleep
  • หมู่บ้าน RIOMAGGIORE                                                                                                                  The BEST Riomaggiore Safaris & wildlife activities 2022 - FREE Cancellation | GetYourGuide
  • นำท่านนั่งรถไฟกลับสู่เมืองลา สเปเซีย  จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ที่พัก

รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง

HOTEL PALACE – VIAREGGIO  หรือระดับเทียบเท่า  4 ดาว  

DAY10

เวียเรจโจ - มิลาน - ชมเมือง - สนามบิน

รับประทานอาหารเช้าแบบอเมริกัน ณ โรงแรมที่พัก 

  • จากนั้นนำท่านเดินทางสู่เมือง มิลาน (MILAN) ( ระยะทาง 260 กิโลเมตร ใช้เวลา 3 ชม. 30 นาที)เมืองสำคัญในภาคเหนือของประเทศอิตาลี ตั้งอยู่ในแคว้นที่ราบลอมบาร์ดีเป็น เมืองที่มีชื่อเสียในด้านแฟชั่นและศิลปะ ซึ่งมิลานถูกจัดให้เป็นเมืองแฟชั่นในลักษณะเดียวกับ นิวยอร์ก ปารีส ลอนดอน และ โรม

รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารไทย

  • จากนั้นนำท่านเดินทางเข้าสู่ลานจตุรัสบริเวณ มหาวิหารแห่งมิลานหรือมิลานดูโอโม (DUOMO) สัญลักษณ์ที่โดดเด่นที่สุดของเมืองซึ่งมีขนาดใหญ่โตมโหฬาร สร้างขึ้นด้วย หินอ่อนสีขาวในศิลปะแบบโกธิคใช้เวลาสร้างนานกว่า 500 ปีปัจจุบันเป็นโบสถ์แคธอล์ลิกที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกและเป็นมหาวิหารใหญ่อันดับ 4 ของโลก สูง 157 เมตรกว้าง 92 เมตรเริ่มสร้างในปีค.ศ. 1386 ใช้เวลาก่อสร้าง นานถึง 500 ปีชมความงดงามยอดปราสาทที่มีปลายยอดแหลมกว่า 135 ยอด                        Milan Cathedral: history, interiors, curiosities - Italia.it
  • อิสระให้ทุกท่านช้อปปิ้งเลือกซื้อสินค้าตามอัธยาศัย
  • เพื่อความสะดวกในการช้อปปิ้งให้ท่านอิสระอาหารค่ำ ตามอัธยาศัย
  • จากนั้นได้เวลาอันสมควรนำท่านออกเดินทางสู่สนามบินมิลาน เพื่อทำการเช็คอินและทำภาษี
  • 22.20 น.   ออกเดินทางสู่ นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยสายการบินเอมิเรตส์  เที่ยวบิน EK 092
DAY12

ดูไบ - สนามบินสุวรรณภูมิ – กรุงเทพฯ

  • 06.25 น. เดินทางถึงสนามบินดูไบ (แวะเปลี่ยนเครื่อง)
  • 09.40 น. ออกเดินทางสู่ กรุงมิลาน ประเทศอิตาลี โดยสายการบินเอมิเรตส์  เที่ยวบิน EK 372
  • 19.15 น. เดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพ…..


แชร์ให้เพื่อน