ทัวร์โมรอคโก 11 วัน
รายละเอียดโปรแกรมทัวร์-ทัวร์โมรอคโก 11 วัน
กำหนดการเดินทาง
รอบที่ | วันเดินทาง | ราคา |
---|---|---|
1 | 12 ก.พ. 68 - 22 ก.พ. 68 | 175,900 บาท |
2 | 12 มี.ค. 68 - 22 มี.ค. 68 | 175,900 บาท |
สถานที่สำคัญ
- 1ชมเมือง CHEFCHAOUEN สมญานามนครสีฟ้า สุดสวย (Unseen)
- 2ชมเมือง FES หนึ่งในเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในโมรอคโก (UNESCO)
- 3ชมเมือง MARRAKECH อดีตเมืองหลวงเก่าสุดสวย มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว (UNESCO)
- 4ชมเมือง CASABLANCA เมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก
- 5ชมเมือง RABAT เมืองหลวงนครสีขาว ของโมรอคโก (UNESCO)
- 6ชมเมือง VOLUBILIS ซากเมืองโบราณสมัยโรมัน (UNESCO)
- 7ชมเมือง AIT BEN HADDOU เมืองที่ทำจากดินทั้งเมือง (UNESCO)
- 8ชมเมือง El Jadida เมืองป้อมปราการริมทะเล (UNESCO)
- 9ชมเมือง MERZOUGA เมืองแห่งทะเลทรายซาฮารา
- 10พิเศษแถมฟรี ขี่อูฐ + นั่งรถ 4x4WD ชมทะเลทรายซาฮาราทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดในโลก
- 11พิเศษแถมฟรี นั่งรถม้า ชมเมืองมาราเกซ
- 12ช้อปปิ้งดังสินค้าพื้นเมือง
HappyLongWay
ขอนำเสนอโปรแกรมทัวร์โมรอคโก
GRAND MOROCCO 11 วัน 8 คืน
โดยสายการบินเอมิเรสต์ แอร์ไลน์ (EK)
สนามบินสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯ
- 22.00 น. คณะพร้อมกัน ณ สนามบินสุวรรณภูมิ อาคารผู้โดยสารขาออก ชั้น 4 เคาน์เตอร์ T ประตู 9-10 สายการบินเอมิเรสต์ แอร์ไลน์ส (EK) เจ้าหน้าที่บริษัทฯ คอยให้การต้อนรับพร้อมอำนวยความสะดวก ด้านสัมภาระ และบัตรที่นั่งขึ้นเครื่อง
ดูไบ - คาซาบลังก้า (โมรอคโค) - ราบัต
- 01.05 น. ออกเดินทางสู่ นครดูไบ โดยสายการบินเอมิเรตส์ เที่ยวบิน EK 385
- 04.55 น. เดินทางถึงสนามบินดูไบ (แวะเปลี่ยนเครื่อง)
- 07.25 น. ออกเดินทางสู่ คาซาบลังก้า โดยสายการบินเอมิเรตส์ เที่ยวบิน EK 751
***หมายเหตุ ไฟล์ทบินอาจมีการเปลี่ยนแปลง***
- 13.10 น. เดินทางถึงสนามบินเมืองคาซาบลังก้า (Casablanca) ประเทศโมรอคโก หลังผ่านตรวจคนเข้าเมือง และศุลกากร พบมัคคุเทศก์ท้องถิ่นแล้ว
- จากนั้นนำท่านเดินทางสู่เมือง ราบัต (Rabat) เมืองหลวงแห่งราชอาณาจักรโมรอคโค (ระยะทาง 95 กม.เวลาเดินทางประมาณ 1.30 ชม.)
- นำท่านชมสุสานของกษัตริย์โมฮัมเหม็ดที่ 5 พระอัยกา(ปู่) ของกษัตริย์องค์ปัจจุบัน ซึ่งมีทหารยามยืนเฝ้าสง่าทุกประตูและเปิดให้เข้าไปเคารพพระศพที่ฝังอยู่เบื้องล่าง ด้านหน้าของสุสาน คือสุเหร่าฮัสซันที่เริ่มสร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 แต่ไม่สำเร็จและพังลงจนเหลือแต่เพียงเสาไว้ 365 ต้น ในบริเวณกว้าง 183×139 เมตร
- นำท่านชม ป้อมอูดายา (Oudayas Fortress) ป้อมขนาดใหญ่ 2 ชั้นที่ตั้งอยู่ริมมหาสมุทรแอตแลนตกิล้อมรอบด้วยกำแพงสูงใหญ่ เป็นป้อมที่สเปนสร้างขึ้นเมื่อสมัยที่สเปนยึดครองโมรอคโค ด้านในมีสวนดอกไม้แบบสเปน และมีชุมชนชาวเมืองซึ่งเต็มไปด้วยบ้านเรือนทาด้วยสีฟ้า-ขาว บรรยากาศริมทะเลคล้ายเมืองซานโตรินี นับเป็นหนึ่งในป้อมปราการที่สำคัญของโมรอคโคในอดีตใช้ป้องกันข้าศึกจากการรุกรานทั้งจากประเทศที่ล่าอาณานิคมและในยุคที่โจรสลัดชุกชุม อิสระนำท่านเดินชมเมืองเก่าราบัต ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก (Unesco) ในปี ค.ศ. 2012
- ให้ท่านได้เลือกซื้อของที่ระลึกตามอัธยาศัย
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
SOFITEL DES ROSE HOTEL RABAT หรือระดับเทียบเท่า 5 ดาว
ราบัต - นครสีฟ้าเชฟชาอูน
รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก
- จากนั้นท่านเดินทางต่อสู่ นครสีฟ้าเชฟชาอูน (Chefchaouen) เมืองที่ได้ชื่อว่า มนต์เสน่ห์แห่งโมร็อกโค (ระยะทาง 250 กม. ใช้เวลา 4 ชม.) แม้ว่าโมรอคโคจะเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปแอฟริกา แต่เพราะการที่มีอาณาเขตตดิต่อกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและมหาสมุทรแอตแลนติกจึงทำาให้ภูมิอากาศของประเทศเป็นแบบเมดิเตอร์เรเนียนคล้ายตอนใต้ของอิตาลีและสเปน เมืองเชฟชาอูนเป็นเมืองเล็กๆตั้งอยู่ในหุบเขาริฟ (Rif Mountain) มีประวัติยาวนานกว่า 540 ปี ในอดีตก่อนที่โมรอคโคจะได้รับเสรีภาพในการปกครองประเทศท้ังหมดในปี 1956 เมืองเชฟชาอูนเคยอยู่ใต้การปกครองของสเปนมาก่อน และจนบัดนี้ประชากรที่มีประมาณ 40,000 คน ก็ยังคงใช้ภาษาสเปนกันอย่างแพร่หลายอากาศบริสุทธิ์และความสะอาดของเมืองเชฟชาอูนได้สร้างบรรยากาศผ่อนคลายสบายๆที่ทำให้นักท่องเที่ยวที่เหนื่อยล้ามาจากการตระเวนเที่ยวที่เมืองอื่นหายเหนื่อยได้ ส าหรับท่านที่ชื่นชอบในสถาปัตยกรรมแบบโมรอคโค ไม่ควรพลาดเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ ที่บ้านเรือนทาด้วยสีฟ้าและสีขาว ซึ่งจะสร้างความประทับใจให้แก่ผู้มาเยือนมิรู้ลืม
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
- นำท่านเดินชมเมืองเชฟชาอูน เมืองที่ถือว่าเป็นสวรรค์ของคนรักสีฟ้าและสีขาว โดยเฉพาะสีฟ้านั่นก็เพราะว่าเชฟชาอูนเป็นเมืองที่บ้านเรือนเกือบทุกหลังเป็นสีขาว และมีครึ่งล่างไปจนถึงบริเวณถนนบันได และทางเดินเป็นสีฟ้าสดใสเหมือนวันที่ท้องฟ้าไร้เมฆประกอบกับอากาศบริสุทธิ์และความสะอาดของเมืองได้สร้างบรรยากาศผ่อนคลายสบายๆที่ทำให้นักท่องเที่ยวที่เหนื่อยล้ามาจากการตระเวนเที่ยวที่เมืองอื่นหายเหนื่อยได้ สำหรับท่านที่ชื่นชอบในสถาปัตยกรรมแบบโมรอคโค ไม่ควรพลาดเมืองเล็ก ๆ ที่บ้านเรือนทาด้วยสีฟ้าและสีขาวแห่งนี้ทีเดียว
- อิสระให้ท่านเดินถ่ายรูปตามอัธยาศัย
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
DAR CHAOUEN HOTEL หรือระดับเทียบเท่า 4 ดาว
** หมายเหตุ เมืองเชฟชาอูน มีโรงแรมที่พักค่อนน้อย หากเต็มทางบริษัทขอสงวนสิทธิ์พักเมืองข้างเคียง **
เชฟชาอูน - โวลูบิลิส (UNESCO) - เฟส (UNESCO)
รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก
- จากนั้นนำท่านออกเดินทางสู่เมือง โบราณโรมันโวลูบิลิส (Roman city of Volubilis) (ระยะทาง 170 กม.ใช้เวลา 3 ชม.) ที่ปัจจุบันเหลือแต่ซากปรักหักพังที่เกิดจากแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงในปีค.ศ. 1755 แต่ยังคงเห็นได้ถึงร่องรอยความยิ่งใหญ่ของเมืองในจักรวรรดิโรมันในอดีต ซึ่งในอดีตเมืองโบราณแห่งจักรวรรดิโรมันแห่งนี้มีความสำคัญยิ่งในยุคศตวรรษที่3 และล่มสลายถูกปล่อยเป็นเมืองร้างในศตวรรษที่ 11 เมืองโรมันโบราณแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก (Unesco) ในปี ค.ศ. 1997
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
- จากนั้นนำท่านเดินทางสู่เมือง เฟส (Fes) (ระยะทาง 82 กม. ใช้เวลา 1 ชม.) เมืองหลวงเก่าในศ.ต.ที่ 8 ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของโมรอคโค
- นำท่านชมสุสานของกษัตริย์มูเลไอดริสที่2 (Moulay Idriss Mausolem II) ที่ชาวโมรอคโคถือว่าเป็นแหล่งมาแสวงบุญที่ศักดิ์สิทธิ์ โดยชายชาวมุสลิมจะมาขอพรก่อนการเข้าสุหนัตและหญิงสาวชาวมุสลิมมักจะมาขอพรเพื่อให้ได้บุตร
- นำท่านถ่ายรูปกับสุเหร่าใหญ่ไคเราวีน (Kairaouine Mosque) ซึ่งเป็นทั้งมหาวิทยาลัยสอนศาสนาแห่งแรกของโมรอคโคและเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว (อนุญาติให้เฉพาะผู้นับถือศาสนาอิสลามเท่าน้ัน)
- นำท่านถ่ายรูปที่จุดชมวิวบนป้อมปราการแห่งราชวงศ์ซาเดียน ต่อด้วยชมประตูพระราชวังหลวงแห่งเฟส (The Royal Palace) ประตูทางเข้าพระราชวังเป็นสถาปัตยกรรมที่สวยและสง่างาม เป็นเอกลักษณ์แห่งราชวงศ์โมรอคโค จากนั้นนำาท่านเดินทางเข้าสู่เขาวงกตอันซับซ้อนแห่งเมดินาเมืองเฟส ผ่านประตู Bab Bou Jeloud ที่สร้างตั้งแต่ปี1913 ที่ใช้โมเสดสีฟ้าตกแต่ง
- นำท่านเดินผ่านตลาดสดขายข้าวปลาอาหาร และผัก ผลไม้สดต่างๆนาๆ ในเขตเมืองเก่าได้แบ่งออกเป็น 100 ส่วน มีซอยกว่า 9,400 ซอย มีซอยแคบสุดคือ 50 ซ.ม. ถึงกว้าง 3 เมตร จะแบ่งเป็นย่านต่างๆ เช่น ย่านเครื่องใช้ทองเหลืองทองแดง จะมีร้านค้าเล็ก ๆ ที่หน้า ร้านจะมีหม้อ กระทะ อุปกรณ์เครื่องครัว วางแขวนห้อยเต็มไปหมด ย่านขายพรมที่วางเรียงรายอย่างสวยงาม ย่านงานเครื่องจักสาน งานแกะสลักไม้ และย่านเครื่องเทศ (Souk El Attarine)
- ชมย่านเครื่องหนังและแวะชม บ่อฟอกและย้อมสีหนังแบบโบราณประจำเมืองเฟส (Chouara Tannery) ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเมืองเฟส ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก (Unesco) ในปีค.ศ.1981 จึงเป็นสถานที่ไม่ควรพลาดในการมาเยือนอย่างยิ่ง
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
MARRIOTT JNAN PALACE HOTEL หรือระดับเทียบเท่า 5 ดาว
เฟส - อิเฟรน - มิเดลท์ - แอร์ฟูด์ - เมอร์ซูก้า
รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก
- นำท่านเดินทางสู่เมือง อิเฟรน (Ifrane) (ระยะทาง 70 กม. ใช้เวลา 1.20 ชม.) อิเฟรนเป็นเมืองพักตากอากาศบนความสูงกว่า 1,650 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ซึ่งในอดีตฝรั่งเศสได้มาสร้างเมืองขึ้นบริเวณนี้เป็นสถานที่พักผ่อนทั้งฤดูหนาวและฤดูร้อน บ้างก็เรียกเมืองอิเฟรนว่า เจนีวาแห่งโมรอคโค หรือ สวิตเซอร์แลนด์แห่งโมรอคโค บ้านส่วนใหญ่มีหลังคาสีแดง มีดอกไม้ และทะเลสาบสวยงาม
- นำท่านเดินเล่นภายในเมืองและเก็บภาพบรรายากาศอันสวยงามอีกแห่งของโมรอคโค ถ่ายรูปกับอนุสรณ์สิงห์โตหิน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนสิงห์โตตัว สุดท้ายที่ถูกล่าจนหมดไปจากเทือกเขาแห่งนี้
- จากนั้นนำท่านเดินทางต่อสู่เมืองมิเดลท์ (Midelt) (ระยะทาง 136 กม. ใช้เวลา 2 ชม.) เมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาแอตลาส เป็นศูนย์กลางการค้า การทำเหมืองแร่ ของโมร็อกโก เป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนระดับความสูงที่ 1,508 เมตร (4,948 ฟุต) ทำให้เมืองมิเดลท์ เป็นหนึ่งในเมืองใหญ่ที่สูงที่สุดในโมร็อกโกอีกด้วย
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
- เดินทางสู่เมือง เอร์ฟูด์ (Erfoud) (ระยะทาง 210 กม. ใช้เวลา 3 ชม. 30 นาที) เมืองที่เคยเป็นศูนย์กลางกองคาราวานพ่อค้าที่เดินทางจากทางตะวันออกกลางอย่างซาอุดิอารเบียและซูดานในแอฟริกา
- จากนั้นนำท่านพร้อมสัมภาระ(ใบเล็ก) เดินทางโดยรถ 4×4 (4WD)
- เข้าสู่ทะลทรายซาฮารา ณ เมืองเมอร์ซูก้า (Merzouga) (ระยะทาง 60 กม. ใช้เวลา 1 ชม.) ซึ่งถือเป็นประตูสู่ทะเลทรายซาฮารา ทะเลทรายที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ที่สุดในโลก นำท่านเดินทางผ่านภูเขาหิน ที่เต็มไปด้วยซากฟอสซิล ของหอย และ แมงกะพรุนโบราณ ในอดีต เมื่อประมาณ 350 ล้านปีก่อน ดินแดนแห่งนี้เคยอยู่ใต้ท้องทะเลต่อมาเมื่อแผ่นดินผุดขึ้นมา จึงเกิดซากฟอสซิลขึ้นมากมาย
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
CARAVAN SERAI CAMP MERZOUGA หรือระดับเทียบเท่า
*** กิจกรรมที่ห้ามพลาด คือการได้ออกมาเพลิดเพลินกับบรรยากาศยามค่ำคืน ของทะเลทรายซาฮารา ว่ากันว่า การชมดาวยามค่ำคืนเหนือทะเลทรายซาฮารา สวยงามติดอันดับต้นๆของโลก ***
เมอร์ซูก้า - ขี่อูฐ - ทินเฮียร์ - ทอดร้า จอร์จ - วอวาเซท
- ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นนำท่านขี่อูฐ เพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้นที่เนินทรายในทะเลทรายซาฮาร่า (ขี่อูฐท่านละ 1 ตัว) ทะเลทรายซาฮาร่า (SAHARA DESERT) เป็นทะเลทรายที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ที่สุดในโลกคือ มีเนื้อที่ประมาณ 9 ล้านตารางกิโลเมตร และตั้งอยู่ทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกา ทะเลทรายซาฮาร่ามีสิ่งแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการดำรงอยู่ของชีวิตมนุษย์ สัตว์ หรือพืช เพราะฝนตกน้อยมาก และพื้นที่ไม่เหมาะแก่การเพาะปลูกหรือเลี้ยงสัตว์ ให้ท่านได้สัมผัสบรรยากาศยามเช้าในทะเลทรายซาฮาร่า ชมพระอาทิตย์ขึ้นจากบนเนินทราย ซึ่งเป็นภาพที่สวยงาม น่าประทับใจ
- ให้ท่านได้เก็บภาพความประทับใจจนเป็นที่พอใจ จากนั้นได้เวลานำาท่านขี่อูฐกลับสู่ โรงแรมที่พัก
รับประทานอาหารเช้าแบบอเมริกัน ณ โรงแรมที่พัก
- นำคณะนั่งรถขับเคลื่อนสี่ล้อ 4×4 (4WD) ออกจากทะเลทรายซาฮาร่า มุ่งหน้าสู่เมืองเอร์ฟูด์ (Erfoud) (ระยะทาง 60 กม. ใช้เวลา 1 ชม.) เพื่อเปลี่ยนเป็นรถโค้ช
- เดินทางสู่เมืองทินเฮียร์ (Tinghir) แวะชมโอเอซิส Tinerhir ซึ่งเป็นชุมชนที่เกาะกลุ่มอยู่รวมกัน ท่ามกลางความแห้งแล้งในเขตทะเลทราย ที่ยังมีความชุ่มชื้น มีตาน้ำ หรือลำธาร ซึ่งใช้ในเพาะการปลูก ต้นปาล์ม ต้นอัลมอนด์โอเอซิส แห่งนี้เคยเป็นที่ตั้งของกองทหารที่เดินทางมาจากเมืองวอซาเซท ผ่านหุบเขาดาเดดส์ (Dades) ซึ่งเป็นแนวเขาและธรรมชาติของหุบเขาที่ถูกกัดกร่อนจากแรงลม ทำให้หุบเขากลายเป็นรูปร่างต่างๆ สวยงาม
- จากนั้นเดินทางสู่ ทอดร้า จอร์จ (Todra Gorge) โกรกธารที่มีโขดผาสูง 985 ฟุต หรือ 300 เมตร ทั้งสองด้านที่เกือบตั้งทำมุมสามเหลี่ยมกับแม่น้ำ โทดร้า ถือว่าเป็นโตรกธารและหุบเขาที่สวยที่สุดทางใต้ของโมรอคโค ให้ท่านได้ชื่นชมความงาม
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารจีน
- นำเดินทางสู่เมือง วอซาเซท (Ouarzazate) (ระยะทาง 160 กม. ใช้เวลา 2 ชม.) เคยเป็นที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ในปีค.ศ. 1928 ฝรั่งเศสได้ตั้งกองกำลังทหารและพัฒนาที่นี่ให้เป็นศูนย์กลางการบริหาร วอซาเซทเป็นเมืองที่ถูกส่งเสริมให้เป็นเมืองท่องเที่ยวแวดล้อมไปด้วยสตูดิโอภาพยนตร์ และเป็นที่ถ่ายทำหนังหลายเรื่อง เช่น The Mummy , Gladiator , Games of Thrones เป็นต้น และมีการพัฒนาพื้นที่ในทะเลทรายเพื่อการทำกิจกรรมต่างๆ เช่นการขี่มอเตอร์ไซด์ อูฐ กิจกรรมผจญภัยกลางทะเลทราย (สำหรับในฤดูหนาว – ฤดูใบไม้ผลิ) (พ.ย.– เม.ย.) ควรเตรียมเสื้อกันหนาวให้เพียงพอ เพราะเมืองนี้อยู่ใกล้ ภูเขาแอตลาส (Atlas) ที่มีหิมะปกคลุมในช่วงดังกล่าว เมือง วอซาเซท อาจกล่าวได้ว่าเป็นจุดมุ่งหมายของนักท่องเที่ยวที่มองหาความแตกต่าง และความผจญภัยที่หาไม่ได้จากที่ไหน วอซาเซทเป็นเมืองที่สำคัญที่สุดของทางตอนใต้ และที่นี่ยังเป็นทางเชื่อมระหว่างเหนือกับใต้ และตะวันออกกับตะวันตก ก่อนถึงเมืองซอซาเซท แวะชมผลิตภัณฑ์ทำจากกุหลาบที่เมือง มากูน่า (M’Gouna) (เทศกาลกุหลาบจะจัดขึ้นประมาณเดือนพฤษภาคม)
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
BERBER PALACE HOTEL หรือระดับเทียบเท่า 5 ดาว
วอซาเซท - ไอท์ เบนฮาดดู (Unesco) - มาราเกซ (Unesco)
รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก
- นำท่านชม ป้อมทาอูเริท (Kasbah Taourirt) พระราชวังของผู้ปกครองมาราเกซตระกูล กลาวี (Glaoui Palace) เป็นป้อมดิน หรือ วังที่สร้างจากดิน ซึ่งภายในประกอบด้วยห้องหับต่างๆจำนวนมากรวมถึงฮาเร็ม และที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ซึ่งเชื่อมต่อกันด้วยทางเล็กๆอยู่ภายใน ในห้องต่าง ๆ ยังมีลวดลายผนังอาคารและรูปแบบสถาปัตยกรรมอันหลากหลายของการสร้างอาคารของชาวเบอร์เบอร์ การออกแบบอาคารซึ่งเหมาะกับความเชื่อและความเป็นอยู่ของเหล่าเจ้าผู้ปกครอง ในป้อมทาอูเริทนี้ในอดีตมีคนงานและคนรับใช้จำนวนหลายร้อยคนจึงต้องมีห้องเป็นจำนวนมาก มีท้ังส่วนที่เป็นวังเก่า ห้องนั่งเล่น ห้องรับรอง บางห้องก็ว่างเปล่า องค์การยูเนสโก้ได้ปฏิสังขรณ์ขึ้นมาจากอาคารเดิมเพียง 1 ใน 3 ของอาคารทั้งหมด
- จากนั้นเดินทางสู่เมืองไอท์ เบนฮาดดู (Ait Benhaddou) (ระยะทาง 30 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที) เป็นเมืองที่อาคารต่าง ๆสร้างจากดิน เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงในเรื่องการหารายได้จากกองถ่ายทำาภาพยนตร์กว่า 20 เรื่องโดยเฉพาะป้อมดินที่งดงามและมีความใหญ่ที่สุดในภาคใต้ของโมรอคโค คือป้อมไอท์ เบนฮาดดู (Kasbash of Ait Ben Hadou) เป็นป้อมดินซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางสวนอัลมอนด์เป็นปราสาทที่ใช้ในนการถ่ายทำภาพยนต์หลายเรื่องที่โด่งดังอาทิ Lawrance of Arabia , Jesus of Nazareth และ Gladiator ปัจจุบันได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก (Unesco) ในปีค.ศ. 1987
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
- นำท่านเดินทางสู่เมือง มาราเกช (Marakesh) (ระยะทาง 185 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชม.) โดยข้ามส่วนที่สูงที่สุดของเทือกเขาแอตลาส ระหว่างทางให้ท่านแวะถ่ายภาพทิวเขาและภาพถนนที่คดเคี้ยวบนเทือกเขาแอตลาส
- แวะชมสหกรณ์แม่บ้านเบอร์เบอร์ซึ่งเป็นแหล่งผลิต น้ำมันอาร์กัน (Argan Oil) ให้ท่านได้เลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาร์กันที่มีชื่อเสียงอันที่รู้จักไปทั่วโลก
- จากนั้นเดินทางต่อสู่เมือง มาราเกช (Marakesh) เป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญที่ตั้งอยู่เชิงเขาแอตลาส ในอดีตเมืองโอเอซิสแห่งนี้เป็นที่พักของกองคาราวานอูฐที่มาจากทางตอนใต้ของโมรอคโค ถือเป็นเมืองชุมทางของพ่อค้าต่างๆที่นำสินค้าจากทางตอนใต้ ไปขายยังยุโรป และ นำสินค้าจากทางเหนือ ผ่านเทือกเขาไฮแลตลาส ไปยังทะเลทรายซาฮาร่า นอกจากนี้ยังเป็นอดีตเมืองหลวงในช่วงหลายราชวงส์ เริ่มตั้งแต่สมัยราชวงศ์อัลโมราวิด ช่วงศ.ต.ที่ 11 ราชวงศ์อัลโมฮัด และ ราชวงศ์ซาเตียนปัจจุบันเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุด สภาพบ้านเมืองที่เราเห็นได้คือ สองข้างทางแวดล้อมด้วยบ้านเรือนที่ถูกฉาบด้วยปูนสีส้มๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลกำหนดไว้แต่คนท้องถิ่นจะเรียกว่า Pink City หรือ เมืองสีชมพู อาจกล่าวได้ว่ามาราเกชเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง จึงได้สมญานามว่าเป็น A city of Drama นั่นคือมีความสวยงามดั่งเมืองในละคร
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารอาหารไทย
RADISSON BLU MARAKESH HOTEL หรือระดับเทียบเท่า 5 ดาว
มาราเกซ - ชมเมือง - นั่งรถม้าชมเมือง - ชมโชว์พื้นเมือง
รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก
- นำท่านชม พระราชวังบาเฮีย (Bahia Palace) เป็นพระราชวังของท่านมหาอำมาตย์ ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทนยุวกษัตริย์ในอดีต สร้างขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 โดย Si Moussa สถาปัตยกรรมออกเป็นแนวสมัยใหม่ โดยที่ตั้งใจจะให้เป็นพระราชวังที่ยิ่งใหญ่และหรูหราที่สุดในสมัยนั้น สร้างขึ้นและตั้งชื่อวังตามชื่อของภรรยาคือนางบาเฮีย ซึ่งมีรูปโฉมที่งดงาม เป็นที่รักใคร่ยิ่งของท่านมหาอำมาตย์ พระราชวังแห่งนี้มีการตกแต่งโดยการแกะสลักปูนปั้น (Stucco) บนเพดานและบานประตูมีการวาดลายโดยใช้สีธรรมชาติบนไม้สนซีดาร์และผนังประดับประดาด้วยโมเสกเป็นลวดลายที่สวยงามละเอียดอ่อนมาก ชมสวนในบ้านซึ่งเป็นสไตล์ริยาด (Riad) ประกอบไปด้วยลาน กลางบ้าน ซึ่งประดับด้วยน้ำพุและสวนไม้ดอกไม้ประดับ ตามสไตล์การแต่งบ้านแบบโมรอคโค
- นำท่านไปชม สวนจาร์ดีน มาจอแรล (Jardin Majorelle) หรือ สวนยิปแซงลอเร้นซ์ (Yves Saint Laurent Gardens) ชื่อนี้เป็นที่คุ้นเคยของสาวๆ ที่ชื่นชอบแฟชั่นสุดหรูของ Yves St. Laurent นักออกแบบแฟชั่นดีไซน์แห่งปารีส ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้อกแบบสวนแห่งนี้ในช่วงที่โมรอคโคตกเป็นอาณานิคมของประเทศฝรั่งเศส ยิปแซงลอเร้นซ์ มาที่ประเทศโมรอคโค เพื่อพักผ่อนหลังจากเคร่งเครียดจากงานออกแบบแฟชั่นโชว์ บ้านหลังนี้เคยเป็นของเศรษฐีแห่งมาราเกช หลังจากยิปแซงมาเยือนมาราเกช ก็ได้เกิดความหลงใหลในเมืองแห่งนี้และซื้อบ้านหลังนี้ไว้เป็นที่พักผ่อน ชมสวนที่ถูกออกแบบโดยใช้สีสดใส ฉูดฉาด เช่นสีน้ำเงิน และสีส้ม เป็นองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็นเสาแจกัน และชมการจัดวางพรรณไม้อันหลากหลาย แห่งทะเลทรายที่จัดได้อย่างสวยงามและลงตัว
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
- นำท่านชม สุเหร่าคูโตเบีย (Kutobia Mosque) เป็นสุเหร่าที่มีหอคอยสูง ถึง 70 เมตร สร้างในสมัยราชวงศ์ อัลโมฮัด ซึ่งเป็นหอคอย 1 ในสามพี่น้อง เป็นที่รู้จักกันทั่วโลกถึงความยิ่งใหญ่ในสมัยราชวงศ์นี้ ชมซากสุเหร่าซึ่งเป็นอนุสรณ์แห่งความขัดแย้งของ 2 ลัทธิ ซึ่งมีมาในอดีต
- จากนั้นนำท่านสัมผัสประสบการณ์นั่งรถม้า ชมเมืองมาราเกช ท่านจะได้ชมความสวยงามของเมืองมาราเกซในอีกบรรยากาศ
- นำท่านเยือน จัตุรัสกลางเมือง Djemaa El Fnaa Square (Medina) ที่มีขนาดใหญ่ รายล้อมไปด้วยอาคาร ร้านค้าตลาด ท้ัง 4 ด้าน นำท่านเดินชมเมือง ชมวิถีของชุมชนที่มีสีสันและกลิ่นอายแบบโมรอคโคขนานแท้อันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งปัจจุบันได้รับการขึ้นเป็นมรดกโลก (Unesco) ในปีค.ศ.1985 ให้ท่านได้จับจ่ายหาซื้อของฝากของที่ระลึกพื้นเมืองต่างๆ ได้ที่ตลาดเก่า (Old Market) ที่อยู่รายรอบจัตุรัสอย่างเพลิดเพลินตามอัธยาศัย
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารพื้นเมืองพร้อมชมการแสดง Fantasia Show
- ท่านจะได้ตื่นตาตื่นใจกับ ความอลังการของสถานที่และสีสันของชาวโมร็อกโกที่ต้อนรับท่านด้วยอาหารและพร้อมชมการแสดงพื้นเมือง
RADISSON BLU MARAKESH HOTEL หรือระดับเทียบเท่า 5 ดาว
มาราเกซ - แอลฌาดีดา (UNESCO) - คาซาบลังก้า
รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก
- นําท่านเดินทางเลาะเลียบชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก สู่เมือง แอลฌาดีดา (El Jadida) (ระยะทาง 215 กม. ใช้เวลา 3.15 ชม.) เคยเป็นเมืองท่าที่สําคัญของประเทศโมร็อกโกที่ทําการค้ากับชาวฟินีเชียนต่อมาชาวโปรตุเกส ขึ้นฝั่งที่นี่และได้สร้างป้อมปราการ เรียกว่า El Brijia El Jaida หลังจากมีการสร้างเมืองขึ้น ซึ่งกลายเป็นเมืองท่าที่สําคัญของชาวโปรตุเกสด้วยชมสถาปัตยกรรมที่ให้เห็นถึงการแลกเปลี่ยนอิทธิพล ระหว่างวัฒนธรรมยุโรปและโมร็อกโก จนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก(UNESCO) ในปีค.ศ. 2004
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
- นำท่านเดินทางสู่เมือง คาซาบลังก้า (Casablanca) (ระยะทาง 100 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.15 ชม.) ถึงคาซาบลังก้า คำว่า ‘คาซา’ แปลว่า บ้าน และ ‘บลังก้า’ แปลว่า สีขาว คาซาบลังก้า เป็นเมืองที่คนทั่วโลกรู้จัก และอาจรู้จักมากกว่า ‘ราชอาณาจักรโมรอคโค’ ด้วยซ้ำเพราะนอกจากจะเป็นเมืองท่าและเป็นที่ตั้งของท่าอากาศยานระหว่างประเทศแล้วยังถูกใช้ป็นฉากในภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดเรื่อง Casablanca (โดยที่ไม่ได้ถ่ายทำในคาซาบลังก้าเลย) เป็นเรื่องราวความรักระหว่างนายทหารอเมริกันและหญงิคนรักในช่วสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้คาซาบลังก้าเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก และปัจจุบันเป็นเมืองเศรษฐกิจหลักของโมรอคโคที่มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณเกือบ 5 ล้านคน
- ท่านช้อปปิ้งที่ห้าง Morocco Mall เป็นห้างที่บรรดาไฮโซ และเศรษฐี ในคาซาบลังก้า นิยมมาจับจ่าย ซื้อสินค้าแบรนด์ดัง อิสระให้ท่านช้อปปิ้งตามอัธยาศัย
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารอาหารจีน
SOFITEL LA TOUR BLANCHE HOTEL หรือระดับเทียบเท่า 5 ดาว
คาซาบลังก้า - สนามบิน
รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก
- นำท่านชมบริเวณภายนอกของสุเหร่าแห่งกษัตริย์ฮัสซันที่ 2 เป็นสุเหร่าที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากเมืองเมกกะ สุเหร่านี้งดงามประณีตด้วยสถาปัตยกรรมแบบโมรอคโคทุกแขนง สามารถจุผู้คนที่เข้าร่วมพิธีทางศาสนาอิสลามได้ร่วม 80,000 คน โดยแยกเป็นภายในสุเหร่า 25,000 คน ภายนอกสุเหร่าอีก 55,000คน ชมทิวทัศน์รอบๆ สุเหร่าอันเป็นจุดชมวิวริมฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติค ซึ่งเป็นสถานที่พักผ่อนที่สวยงามของชาวโมรอคโคที่ชอบมาเดินเล่นหลังจากปฏิบัติศาสนกิจเสร็จแล้ว
- 11.30 น. นำท่านเดินทางสู่สนามบินโมฮัมเหม็ดที่ 6
- 15.05 น. ออกเดินทางสู่ดูไบ (Dubai) โดยสายการบินเอมิเรตส์ เที่ยวบินที่ EK 752
***หมายเหตุ ไฟล์ทบินอาจมีการเปลี่ยนแปลง***
ดูไบ - สนามบินสุวรรณภูมิ กรุงเทพ
- 01.30 น. เดินทางถึงสนามบินดูไบ (แวะเปลี่ยนเครื่อง)
- 03.50 น. ออกเดินทางสู่ กรุงเทพฯ โดยสายการบินเอมิเรตส์ เที่ยวบิน EK 376
- 12.55 เดินทางถึงสานามบินสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ