กรีนแลนด์ สวรรค์บนธารน้ำแข็ง ดินแดนที่เต็มไปด้วยความสวยงาม แหล่งท่องเที่ยวที่นักเดินทางหลายคนใฝ่ฝันอยากไปเยือน เพราะด้วยความสวยงามที่ถูกเล่าขานกันมา ทั้งในเรื่องของความงดงามของธรรมชาติ และ กิจกรรมที่ทำให้การมาพักผ่อนของคุณไม่น่าเบื่อ วันนี้เรามาทำความรู้จักกับกรีนแลนด์กันให้มากขึ้นกันค่ะ

กรีนแลนด์ เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลกและตั้งอยู่ทางทิศเหนือบริเวณที่แอตแลนติกพบกับมหาสมุทรอาร์ติค ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นน้ำแข็งไปหมดแล้ว และมีทะเลล้อมรอบเกาะอยู่ ดังนั้นชายฝั่งจะมีอุณหภูมิต่ำอยู่ตลอดเวลา และด้วยสภาพที่ตั้งจึงทำให้ภูมิอากาศของกรีนแลนด์เป็นภูมิอากาศหนาวเย็นแบบอาร์คติกแผ่นน้ำแข็งมีอาณาเขตกว้างปกคุลุมถึง 1,833,900 ตารางกิโลเมตร เท่ากับ พื้นที่ทั้งหมด 85 เปอร์เซ็นของพื้นที่ทั้งหมดของกรีนแลนด์และขยายไปถึง 2,500 กิโลเมตร จากทางเหนือจรดทางใต้ และกว้างกว่า 1,000 กิโลเมตรจากทางตะวันออกไปทางตะวันตก ทางตอนกลางของเกาะ มีแผ่นน้ำแข็งที่มีความหนามากกว่า 3 กิโลเมตรและ ถือได้ว่าเป็น 10 เปอร์เซ็นของพื้นที่ทั้งหมด

แม้ว่ากรีนแลนด์จะมีพื้นที่กว้างใหญ่ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีฐานะเป็นประเทศ ปัจจุบันกรีนแลนด์อยู่ในฐานะเป็นดินแดนปกครองตนเองของประเทศเดนมาร์ก มีอำนาจในการปกครองตนเอง มีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาล แต่ยังคงไม่มีอำนาจในด้านต่างประเทศและการทหาร

กรีนแลนด์ มีประชากรราว 56,370 คน ประกอบด้วยชาวอินูอิต 88% (รวมทั้งผู้เป็นลูกผสม) และชาวยุโรป 12% ซึ่งโดยมากเป็นชาวเดนมาร์ก ภาษาหลักคือ กรีนแลนด์ (kalaallisut หรือ grønlandsk) และเดนมาร์ก (dansk) โดยประชากรส่วนใหญ่พูดได้ทั้งสองภาษา ศาสนาที่ประชากรโดยมากนับถือ คือ ศาสนาคริสต์ นิกายลูเทอแรน ถึงแม้เกาะกรีนแลนด์จะเป็นเกาะใหญ่ แต่ประชากรก็อาศัยได้เฉพาะบางพื้นที่เท่านั้น เนื่องจากเกาะนี้มีน้ำแข็งปกคลุมอยู่มาก

นุก (Nuuk) เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของกรีนแลนด์ ตั้งอยู่ทางตอนใต้ฝั่งตะวันตกของเกาะกรีนแลนด์ มีพื้นที่ประมาณ 690 ตารางกิโลเมตร มีประชากรเพียงแค่ราว ๆ 17,000 คนเท่านั้น แต่ภายในเมืองแห่งนี้ก็เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นสนามบินนานาชาติ, ท่าเรือขนส่ง, มหาวิทยาลัย, โบสถ์, สนามกีฬาในร่ม, พิพิธภัณฑ์, โรงแรม, ร้านอาหาร เป็นต้น

กรีนแลนด์ เป็นดินแดนที่มีฤดูร้อนเพียงแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น คืออยู่ในช่วงระหว่างปลายเดือนมิถุนายน จนถึงกลาง ๆ เดือนสิงหาคม อุณหภูมิเฉลี่ยก็จะอยู่ที่ราว ๆ 10 องศาเซลเซียส ส่วนฤดูหนาวจะมีช่วงเวลาที่ยาวนาน โดยจะเริ่มตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกันยายน ไปจนถึงกลางเดือนเมษายน ในบางวันอุณหภูมิอาจจะติดลบลงไปมากกว่า -30 องศาเซลเซียสเลยทีเดียว

ขอบคุณข้อมูลจาก wikipedia.org

โปรแกรมทัวร์กรีนแลนด์ Click

http://happylongway.com/package/iceland-greenland/



เมืองฮัลล์ทัทท์ (Hallstatt)ทะเลสาบที่สวยที่สุดในโลก

เมืองฮัลล์ทัทท์ (Hallstatt)เมืองที่ได้ชื่อว่า เมืองริมทะเลสาบ ที่สวยที่สุดในโลก และยังเป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ ออสเตรีย (Austria) โดยเมืองฮัลล์ทัทท์นั้น อยู่ในรัฐอัปเปอร์ออสเตรีย (Upper Austria) ซึ่งเป็น 1 ใน 9 รัฐ ของประเทศออสเตรียนั่นเองฮัลล์ทัทท์ เป็นเมืองท่องเที่ยวเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของทะเลสาบฮัลล์ทัทท์ (Lake Hallstatt) หรือ ฮัลล์ชตัทท์เทอร์ ซี (Hallstatter See) ทะเลสาบในเขตภูมิภาคซาลซ์คัมเมอร์กุท (Salzkammergut) ภูมิภาคทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญมากแห่งหนึ่งของประเทศออสเตรีย สำหรับความโดดเด่นของเมืองนั้น สิ่งแรกที่นักท่องเที่ยวจะสัมผัสได้ก็คือความเป็นเมืองชนบทเล็กๆ ที่มีอากาศแสนบริสุทธิ์ เหมาะอย่างยิ่งที่จะเดินทางมาพักผ่อนตากอากาศ และชมทัศนียภาพสวยๆ ของตัวเมืองที่ถูกโอบล้มไปด้วยทะเลสาบและเทือกเขาสูงตระหง่าน

นอกจากนี้แล้ว นักท่องเที่ยวที่มาเยือนยังสามารถเดินทางไปชมเหมืองเกลือโบราณที่มีอายุมากกว่า 7,000 ปี โดยการขึ้นกระเช้าไฟฟ้า เพื่อไปยังเหมืองเกลือที่ตั้งอยู่บนภูเขาที่มีความสูงกว่าระดับน้ำทะเล ประมาณ 838 เมตร หรือใช้เวลาในการเดินทางเพียงแค่ 3 นาทีเท่านั้น สำหรับการเที่ยวชมเหมืองเกลือนั้น นักท่องเที่ยวสามารถเที่ยวชมได้ในช่วงระหว่างเดือนเมษายน – เดือนตุลาคมของทุกปีๆ

สุดท้ายขอแนะนำให้คุณไปพิสูจน์ความกล้ากันแบบเบาๆ ที่ ไบน์เฮาส์ (Beinhaus) หรือ โบน์เฮาส์ (Bone House) เป็นอาคารขนาดเล็กที่แยกออกจากคริสตจักร ซึ่งภายในเป็นที่เก็บหัวกะโหลกที่มีมากกว่า 1,200 กะโหลก โดยแต่ละกะโหลกจะมีชื่อของเจ้าของสลักติดไว้อย่างเป็นระเบียบ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นของคนที่เสียชีวิตในศตวรรษที่ 18 – 19 ปัจุุบันเมืองฮัลล์ทัทท์ และเขตภูมิภาคซาลซ์คัมเมอร์กุทได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในปี 1997 และเป้นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ใฝ่ฝันออยากมาเยือนสักครั้งหนึ่งในชีวิตอีกด้วย



HappyLongWay ขอแนะนำ Website ไว้สำหรับตรวจสอบสภาพอากาศทั่วโลก

ปัจจุบันนี้การเดินทางไปต่างประเทศไม่ใช่เรื่องยากเหมือนในอดีตแล้ว ทั้งบริษัททัวร์ที่มีมากมายหลายประเทศ โปรโมชั่นลดกันสุดๆ หรือแม้แต่การเดินทางด้วยตนเองโดยสายการบินต่างๆ ที่ลดกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์กันเลยทีเดียว ทำให้ใครๆก็สามารถไปเที่ยวต่างประเทศกันได้ไม่ยาก

สำหรับการเตรียมตัวเดินทางไปต่างประเทศนั้น สิ่งหนึ่งที่คุณควรรู้ก็คือ "อุณหภูมิ" ของแต่ละประเทศนั้นๆ เพื่อที่จะสะดวกในการแพ็คกระเป๋าของคุณนั่นเอง ซึ่งในอดีตผู้เดินทางมักสอบถามกับผู้รู้หรือผู้มีประสบการณ์ไม่ว่าจะเป็น สภาพภูมิอากาศ เป็นอย่างไร อากาศจะร้อนจะหนาวขนาดไหน อุณหภูมิ กี่องศา ต้องเตรียมเสื้อผ้าแบบใด แต่ปัจจุบันนี้สื่อออนไลน์ได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น ทำให้เราสามารถตรวจสอบสภาพอากาศทั่วโลกได้ด้วยตนเองอย่างง่ายดาย และอีกประการหนึ่ง สภาพภูมิอากาศทั่วโลกของเราที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในปัจจุบันนี้ อาจทำให้ผิดเพี้ยนไปจากเดิม เช่นจากที่เคยหนาวมากอาจอุ่นขึ้นเล็กน้อย

วันนี้เราจึงได้รวบรวมเว็บไซต์สำหรับตรวจสอบสภาพอากาศทั่วโลกมาให้นักเดินทางได้ตรวจสอบสภาพอากาศก่อนออกเดินทางคะ

1.http://www.weather.com/  ผู้สนใจสามารถค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับอุณหภูมิโดยใส่รหัสประจำเมืองที่จะเดินทางไปอยู่ การตรวจสอบอุณหภูมิสามารถเลือกดูได้เป็นเฉพาะชั่วโมง, เฉพาะวันนี้, สุดสัปดาห์ , 5 วัน, 10 วัน, รายเดือน พร้อมทั้งเลือกที่จะดูอุณหภูมิในหน่วยองศาฟาเรนไฮต์ หรือ องศาเซลเซียสได้

2.http://www.accuweather.com/ เวปไซท์นี้ก็เป็นอีกทางเลือกที่พยากรณ์ได้ค่อนข้างแม่นยำ และหลากหลาย

7.http://www.weatherzone.com.au/ เน้นการรายงานอุณหภูมิในประเทศออสเตรเลีย แต่ก็สามารถดูอุณหภูมิในภูมิภาคต่างๆของโลกนี้ได้ด้วยเช่นกัน



ใครที่กำลังมีแผนจะท่องเที่ยวยุโรป อาจจะเคยได้ยินเรื่องเขตพื้นที่เชงเก้น ที่เป็นข้อตกลงของประเทศส่วนใหญ่ในยุโรป ในการอนุญาตให้ผู้คนของประเทศในกลุ่มสมาชิก เดินทางระหว่างกันได้โดยไม่ต้องถือหนังสือเดินทาง และก็มีผลไปถึงการอนุญาตชั่วคราวให้ผู้มีใบอนุญาตเชงเก้น หรือเชงเก้น วีซ่า (Schengen Visa) ที่ออกโดยประเทศใดประเทศหนึ่งในกลุ่มสมาชิกเชงเก้น มีสิทธิ์เดินทางในประเทศอื่นในกลุ่มเชงเก้นได้ด้วย

และสำหรับคนที่อยากไปทัวร์ยุโรปเป็นทริปสั้น ๆ วันนี้เรามีข้อมูลจากทาง EU มาอัพเดทให้ดูกันก่อนค่ะว่า ประเทศไหน บ้างที่เข้าร่วมกลุ่มเชงเก้นแล้ว และประเทศไหนบ้างในยุโรปที่ยังไม่ได้เข้าร่วมกลุ่มเชงเก้น ซึ่งนักท่องเที่ยวจะต้องขอวีซ่าเพื่อเข้าประเทศนั้น ๆ เป็นที่ ๆ ไป คราวนี้จะได้จัดทริปทัวร์ยุโรปได้อย่างถูกต้องและสบายใจกันจ้า

มารู้จักวีซ่าเชงเก้นกันก่อน

วีซ่าเชงเก้น (Schengen Visa) เป็นวีซ่าสำหรับใช้เดินทางเข้า-ออก ประเทศในแถบยุโรปที่มีข้อตกลงเป็นกลุ่มสมาชิกเชงเก้นร่วมกัน ซึ่งหมายถึง หากนักท่องเที่ยวถือวีซ่าเชงเก้นเข้ามา จะสามารถเดินทางผ่านเข้า-ออกในประเทศกลุ่มสมาชิกเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ได้ทั้งหมด โดยไม่ต้องไปเสียเวลาขอวีซ่าเพื่อเข้าไปในพื้นที่เชงเก้นทีละประเทศอีกต่อไป ยกตัวอย่างเช่น หากคุณจัดทริปไปเที่ยวประเทศฝรั่งเศส-เยอรมนี-สวิตเซอร์แลนด์ คุณสามารถไปขอวีซ่าเชงเก้นที่ประเทศฝรั่งเศสที่เดียว แต่เที่ยวได้ทั้งเยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ และประเทศในกลุ่มเชงเก้นอื่น ๆ ต่อได้เลย โดยมีข้อแม้ว่า ระยะเวลาที่พำนักในแต่ละประเทศจะต้องไม่เกิน 90 วัน ภายในระยะเวลา 6 เดือน เริ่มนับตั้งแต่วันแรกที่เดินทางเข้าสู่พื้นที่เชงเก้นนะคะ

ประเทศที่เข้าร่วมสมาชิกเชงเก้น

สำหรับคนที่ต้องการจะเดินทางไปท่องเที่ยวประเทศยุโรป และกำลังจะติดต่อขอทำวีซ่าเชงเก้น เราก็มาอัพเดทกันก่อนดีกว่าค่ะว่า เราจะสามารถขอวีซ่าเชงเก้นได้ที่สถานทูตประเทศไหน และจะสามารถเดินทางท่องเที่ยวประเทศไหนในยุโรปได้บ้าง โดยไม่ต้องขอวีซ่าระยะสั้นหลาย ๆ ประเทศให้ยุ่งยาก ซึ่งประเทศที่เข้าร่วมสมาชิกเชงเก้นแล้ว ได้แก่

1. ออสเตรีย
2. เบลเยียม
3. สาธารณรัฐเช็ก
4. เดนมาร์ก
5. เอสโตเนีย
6. ฟินแลนด์
7. ฝรั่งเศส
8. เยอรมนี
9. กรีซ
10. ฮังการี
11. อิตาลี
12. ลัตเวีย
13. ลิกเตนชไตน์
14. ลิทัวเนีย
15. ลักเซมเบิร์ก
16. มอลตา
17. เนเธอร์แลนด์
18. โปแลนด์
19. นอร์เวย์
20. โปรตุเกส
21. สโลวีเนีย
22. สโลวาเกีย
23. สเปน
24. สวีเดน
25. สวิตเซอร์แลนด์
26. ไอซ์แลนด์

อย่างไรก็ตาม ประเทศบัลแกเรีย, โรมาเนีย, ไซปรัส, โครเอเชีย, สหราชอาณาจักร และไอร์แลนด์ ยังไม่ได้เข้าร่วมกลุ่มเชงเก้น ดังนั้น ผู้ที่ประสงค์จะไปเยือนประเทศเหล่านี้ จึงต้องขอวีซ่าเพื่อเข้าประเทศดังกล่าวต่างหากด้วยนะ

ขั้นตอนการขอวีซ่าเชงเก้น

1. เมื่อวางแผนท่องเที่ยวยุโรปได้แล้ว ให้คุณเดินทางไปติดต่อขอทำวีซ่าเชงเก้นได้ที่สถานทูตของประเทศที่คุณคาดว่าจะใช้เวลาพำนักอยู่นานที่สุด หรือประเทศที่คุณคิดว่าจะเดินทางไปถึงเป็นที่แรกก็ได้

2. กรอกใบสมัครสำหรับการขอวีซ่า หรือดาวน์โหลดใบสมัครจากเว็บไซต์ของสถานทูตนั้น ๆ ผ่านทางอินเทอร์เน็ตโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

3. แสดงหนังสือเดินทางที่มีอายุการใช้งานเกินกว่าช่วงเวลาที่ท่านจะพำนักอยู่ในประเทศเชงเก้น

4. ระบุวัตถุประสงค์การเดินทาง

5. แสดงทรัพย์สินที่เพียงพอต่อการใช้จ่ายในช่วงที่พำนัก

6. มีประกันภัยการเดินทางโดยมีวงเงินประกันอย่างน้อย 30,000 ยูโร

ค่าธรรมเนียมในการขอวีซ่าเชงเก้น

ในการขอวีซ่าเชงเก้น (วีซ่าพำนักระยะสั้น) จะต้องเสียค่าธรรมเนียม 60 ยูโร แต่ทั้งนี้อาจจะได้ลดหย่อน หรือไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเลย ซึ่งขึ้นอยู่กับข้อกำหนด และสิทธิพิเศษบางกรณีไป โดยคุณสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สถานทูตของแต่ละประเทศค่ะ

อายุวีซ่าระยะสั้น

ก่อนจะออกเดินทางไปทัวร์ยุโรปให้จุใจ เรามาดูกันก่อนดีกว่าว่า วีซ่าเชงเก้นจะเอื้อให้เราพำนักในแต่ละประเทศในกลุ่มเชงเก้นได้นานแค่ไหน โดยประเภทวีซ่า และระยะเวลาพำนักก็สามารถแบ่งออกได้ 3 ประเภท ดังนี้

1. วีซ่าประเภท C พำนักระยะสั้น สามารถเดินทางเข้าออกพื้นที่เชงเก้นได้ไม่จำกัดครั้ง โดยมีระยะเวลาที่อนุญาตให้พำนักในแต่ละประเทศไม่เกิน 90 วัน ภายในช่วงเวลา 180 วัน

2. วีซ่าประเภท B วีซ่าเดินทางผ่าน ออกให้กับบุคคลที่เดินทางผ่านประเทศในกลุ่มเชงเก้นประเทศใดประเทศหนึ่ง หรือมากกว่า 1 ประเทศ ก่อนจะเดินทางต่อไปยังประเทศที่ 3

3. วีซ่าประเภท A วีซ่าสำหรับแวะเปลี่ยนเครื่องที่สนามบิน สำหรับนักเดินทางนอกสัญชาติกลุ่มประเทศเชงเก้น ที่ต้องการเดินทางไปยังประเทศที่ 3 แต่ต้องการแวะเปลี่ยนเครื่องในประเทศพื้นที่เชงเก้น จะต้องขอวีซ่าแวะเปลี่ยนเครื่องที่สนามบิน และต้องมีวีซ่าทั้ง 3 ประเภทนี้ไว้ในครอบครองด้วย

ทั้งนี้ หมายความว่าผู้ที่ขอวีซ่าเชงเก้นจะสามารถท่องเที่ยวทั่วเขตพื้นที่เชงเก้นได้สูงสุดนานถึง 1 ปี โดยขึ้นอยู่กับการพิจารณาของสถานทูตประเทศนั้น ๆ ด้วย แต่อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า ต้องอาศัยอยู่ในประเทศใดประเทศหนึ่งไม่เกิน 90 วันเท่านั้นนะคะ ส่วนประเทศที่ยังไม่ได้เข้าร่วมกลุ่มเชงเก้น ก็ต้องขอวีซ่าเพื่อผ่านเข้าประเทศนั้น ๆ ก่อน เพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมาย และเพื่อความปลอดภัย



เที่ยวยุโรปช่วงไหนดี มาตอนไหนดี เรามีคำตอบ

          การเลือกช่วงเวลาในการมาเยือนยุโรปนั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราควรทราบก่อนที่จะวางแผนมาเที่ยว เนื่องจากยุโรปมีฤดูถึง 4 ฤดู คือ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว โดยแต่ละฤดูก็จะมีภูมิอากาศที่มีเอกลักษณ์เฉพาะแตกต่างกันไป ส่วนใหญ่ พิพิธภัณฑ์ หอศิลป์และปราสาทบางแห่งในประเทศจะเปิดทำการให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้เฉพาะในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวเท่านั้นคือช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกันยายน ส่วนช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการมาเที่ยวที่นี่คือช่วงเดือนพฤษภาคมหรือเดือนกันยายน เพราะช่วงนี้ถือว่าเป็นช่วงที่มีอากาศดีมากที่สุดของปี คือ อากาศกำลังสบาย ไม่หนาวและไม่ร้อนจนเกินไป และจำนวนนักท่องเที่ยวก็ไม่เยอะมากอีกด้วย ส่วนในเดือนเมษายนและเดือนตุลาคม ซึ่งมีอากาศหนาวกว่า นักท่องเที่ยวจะน้อยจึงทำให้คุณได้ห้องพักในราคาที่ถูกลง ส่วนในช่วงฤดูหนาว คือช่วงพฤศจิกายน-เดือนมีนาคมซึ่งเป็นช่วงฤดูหนาวอากาศจะหนาวเย็นมาก โดยคุณอาจจะได้เห็นเมืองต่างๆ ปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาว แต่ถึงแม้ว่าในช่วงนี้สถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งจะปิดทำการ แต่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวของยุโรปในช่วงนี้กลับอยู่บนภูเขาสูง โดยมีนักท่องเที่ยวมากมายที่ไปเยี่ยมเยือนหรือทำกิจกรรมต่างๆ กันที่สกีรีสอร์ท ดังนั้นการศึกษาสภาพอากาศก่อนมาเที่ยวยุโรปจึงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญ ทั้งนี้เพื่อให้การมาเยือนยุโรปเป็นไปตามจุดประสงค์หรือกิจกรรมที่คุณต้องการ อีกทั้งยังเป็นแนวทางในการจัดเตรียมเสื้อผ้าให้เหมาะสำหรับแต่ละฤดูอีกด้วย

สภาพอากาศในฤดูใบไม้ผลิ

ฤดูใบไม้ผลิ อากาศจะเย็นสบายและไม่ร้อนจนเกินไป ช่วงต้นของฤดูใบไม้ผลิหรือปลายฤดูหนาวอาจยังคงหนาวเย็นอยู่บ้าง แต่ว่าจากกลางเดือนเมษายนจนถึงเดือนพฤษภาคม สภาพอากาศจะเริ่มอุ่นขึ้นเรื่อยๆ โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยในเดือนมีนาคมประมาณ 5 องศา และในเดือนเมษายนอากาศก็จะเริ่มอุ่นขึ้น แต่ว่าอากาศในเวลากลางคืนส่วนมากก็ยังคงหนาวอยู่ ส่วนในช่วงเดือนพฤษภาคมเวลากลางวันอากาศจะเย็นสบาย โดยมีอุณหภูมิประมาณ 20 องศากว่าๆ ßต้นไม้เริ่มผลิใบ ท้องทุ่งเริ่มมีหญ้าสีเขียวอ่อนสีเขียวแก่ลาดสลับกันไปมาตามสภาพภูมิประเทศ ดอกไม้ใบหญ้าก็จะบานสะพรั่งเห็นเป็นสีสันสวยสดงดงามไปทั่วทุกแห่ง ท้องฟ้าก็เริ่มมืดช้าลงคือ จะมืดตอนประมาณสองทุ่ม จึงทำให้เรามีเวลาเที่ยวได้มากขึ้น บวกกับอากาศที่เย็นสบายด้วยแล้ว ถือว่าในช่วงฤดูใบไม้ผลินี้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของการมาเที่ยวที่ยุโรปเลยก็ว่าได้ค่ะ

สภาพอากาศในฤดูร้อน

ฤดูร้อนของยุโรปจะเริ่มจากประมาณเดือนมิถุนายนจนถึงกลางเดือนกันยายน ซึ่งอากาศในฤดูร้อนนี้ อาจเป็นปัญหาสำหรับนักท่องเที่ยวจากหลายๆ ประเทศ เนื่องจากบางวันอุณหภูมิอาจพุ่งสูงถึง 35 องศา แต่อุณหภูมินี้ไม่เป็นปัญหาสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยอย่างเราแต่อย่างใด เพราะว่านี่ถือเป็นอุณหภูมิปรกติของบ้านเรา แต่ก็อาจมีฝนตกบ้างในบางวัน จึงควรมีร่มคันเล็กๆ ติดตัวไว้ค่ะ นอกจากนี้ ฤดูร้อนที่ยุโรปจะมืดช้าที่สุดในรอบปี คือ พระอาทิตย์จะตกตอนประมาณสามทุ่มสิบห้านาที ทำให้เราได้เที่ยวนานขึ้น และไม่ต้องรีบทำเวลาเพราะกลัวว่าจะมืดหรือว่าจะไม่มีแสงให้ถ่ายรูปค่ะ และอีกอย่างในช่วงหน้าร้อนของที่เช็ค บรรดาร้านอาหาร หรือร้านกาแฟ จะเปิดพื้นที่หน้าร้านให้คุณสามารถนั่งข้างนอก จิบกาแฟ หรือรับประทานอาหารได้ พร้อมกับเพลิดเพลินกับการมองดูผู้คนที่เดินผ่านไปมา ได้บรรยากาศยุโรปๆ ไปอีกแบบ

สภาพอากาศในฤดูใบไม้ร่วง

ช่วงฤดูใบไม้ร่วงถือว่าเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการมาเที่ยวยุโรปเช่นกันค่ะ โดยในช่วงเดือนกันยายนอากาศจะยังคงอบอุ่นมีอุณหภูมิในช่วงเวลากลางวันประมาณ 20 องศา ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีเหลือง สีส้มสด ในวันที่มีแสงแดดคุณจะมองเห็นทิวทัศน์อันงดงามและต้นไม้สีสวยสดสลับสีกันอยู่บนต้นไม้สวยงามราวกับภาพวาด

ส่วนตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคมเป็นต้นไปอุณหภูมิจะเริ่มลดต่ำลง และในเดือนพฤศจิกายนอากาศจะเริ่มหนาวเย็นในเวลากลางคืนโดยอุณหภูมิจะลดต่ำกว่าศูนย์องศา โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 3 องศา และอาจจะมีหิมะชุดแรกตกลงมาในช่วงนี้ มองดูแล้วเหมือนกับเมืองที่ปูพรมสีขาวหรืออยู่ภายใต้ผ้าห่มสีขาวที่สวยงาม

สภาพอากาศในฤดูหนาว

อากาศฤดูหนาวในยุโรปจะหนาวมาก อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ -2-5 °C แต่ถึงอย่างนั้น ช่วงเวลานี้ก็ยังถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ดี ในการมาเที่ยวยุโรป เพราะเมื่อหิมะตก คุณจะได้เห็นตึกราม บ้านเรือน อาคารที่สวยงาม หรือแม้แต่วิวธรรมชาติที่ปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลน และเมื่อต้องกับแสงไฟดวงเล็กดวงน้อยจากบ้านเรือนหรือเสาไฟริมถนนในยามค่ำคืน จะทำให้คุณรู้สึกเหมือนกับกำลังอยู่ในเทพนิยายเลยทีเดียว และยิ่งถ้าได้มีคนรู้ใจมาเดินจูงมือข้างๆ ด้วยแล้วล่ะก็ รับรองว่าโรแมนติกสุดๆ ดังนั้นถึงแม้อากาศจะหนาวมากแค่ไหน ก็ยังมีนักท่องเที่ยวจากหลายประเทศมาแวะเวียนไม่ขาดสาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ชื่นชอบโอเปร่าหรือคอนเสิร์ตดนตรีคลาสสิค

ฤดูหนาวที่นี่จะมืดเร็วกว่าในฤดูอื่นๆ ของปี เนื่องจากพระอาทิตย์จะตกตอนประมาณสี่โมงเย็นในเดือนธันวาคมและเดือนมกราคม และพระอาทิตย์จะตกตอนประมาณห้าโมงเย็นในเดือนกุมภาพันธ์ ทำให้สถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งปิดเร็วตามไปด้วยหรือในบางแห่งจะปิดทำการในช่วงฤดูหนาวไปเลยก็มี

อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจอีกมากมายให้เราได้ทำในฤดูหนาวนี้อย่างเช่น สเก็ตน้ำแข็งกลางแจ้ง หรือจะขึ้นเขาไปเล่นสกี สโนว์บอร์ด หรือสไลเดอร์หิมะ ก็สนุกไปอีกแบบค่ะ ดังนั้น ถ้าหากคุณกำลังมีแผนการว่าจะมาเที่ยวยุโรปในช่วงฤดูกาลนี้ล่ะก็ คุณควรจะเตรียมเสื้อผ้าที่อบอุ่นรวมทั้งเสื้อโค้ทหนาๆ และรองเท้าที่ทำให้เท้าของคุณอุ่นในขณะที่คุณเดินสำรวจเมืองนะคะ



นํามือถือไปใช้ต่างประเทศ

สำหรับคนที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศนั้นบ่อยครั้งที่ต้องพบกับปัญหาการติดต่อสื่อสาร ไม่ว่าจะโทรภายในประเทศนั้นๆ หรือ โทรกลับประเทศไทย วันนี้จะมาเสนอวิธีการเตรียมตัวและ จะโทรให้ถูกได้อย่างไร     

ก่อนอื่นเราต้องเลือกก่อน ว่าเราต้องการใช้อะไรบ้าง เช่น ใช้แค่อินเตอร์เน็ท เพราะในปัจจุบันนี้ App ต่างๆในมือถือเราก็สามารถใช้โทรยังต่างประเทศ รวมถึงเล่นอินเตอร์เน็ทได้ด้วย ส่วนนี้แนะนำให้เช่า Wifi หรือ Sim ของเครือข่ายต่างๆ หรือต้องการรับโทรศัพท์รวมถึงการโทรออกในต่างประเทศ ควรซื้อแพคเกจของเครือข่ายที่ใช้อยู่แล้ว จะประหยัดได้มากขึ้น โดยมีข้อสังเกตุดังนี้

  1. คุณสามารถรับ sms ได้ฟรีเมื่อคุณอยู่ต่างประเทศ ดังนั้นจงใช้ประโยชน์ข้อนี้ให้ดี คุณต้องแน่ใจว่าเบอร์ของคุณได้เปิดบริการ roaming แล้วโดยให้ติดต่อกับ mobile operator ที่คุณใช้อยู่ในเมืองไทยเช่น ais, dtac, true ก่อนออกเดินทาง ส่วนใหญ่เดี๋ยวนี้มักจะไม่คิดค่าเปิดบริการ แล้วบอกคนที่ติดต่อกับคุณเป็นประจำว่ามีอะไรก็ให้ sms มาก็ได้ แล้วถ้าจำเป็นคุณจะโทรกลับไปเอง อย่าลืมปิดบริการรับข้อความข่าวสารแบบสมาชิกที่คุณสมัครไว้ เช่น บริการข่าวสาร บริการดูดวง และอื่นๆเพราะคุณจะเสียเงินเมื่อรับข้อความเหล่านี้เมื่ออยู่ต่างประเทศ แค่นี้คุณก็รับข้อมูลจากคนที่ติดต่อคุณได้ฟรีๆแล้ว 
  2. อย่าลืมปิดบริการ voice mail หรือ sms alert miss call เพราะถ้ามีคนโทรมาแล้วเข้าฝากข้อความ คุณก็จะเสียเงินเหมือนรับสาย
  3.  ถ้ามีคนที่ไม่รู้ว่าคุณอยู่ต่างประเทศโทรมา หรือคนที่รู้ว่าคุณมาแต่อยากให้คุณโทรกลับ เมื่ออยู่ต่างประเทศจะโชว์เบอร์คนที่โทรมา คุณก็ยังไม่ต้องรับสาย แต่คุณสามารถ ใช้โทรศัพท์อีกเครื่องหนึ่งของคุณพร้อมซิมในประเทศนั้นๆโทรกลับดีกว่า  แนะนำให้ลองไปหาซื้อซิมการ์ดต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีทั้ง 3 ค่าย ทั้ง AIS DTAC หรือ TRUE ส่วนมากราคาจะอยู่ที่ 399 บาท / 3 หรือ 4 G / 7 -10 วัน หรือไม่ก็ไปซื้อที่ประเทศนั้นๆ 
  4. ปัจจุบันเครือข่ายต่างๆในประเทศไทยนั้น มีโปรโมชั่นต่างๆมากมาย ในการใช้ Data Roaming ในต่างประเทศ หากต้องการใช้ควรจะซื้อแพคเกจก่อนเดินทาง เพราะเมื่อไปถึงที่ต่างประเทศแล้ว จะทำให้เกิดความลำบากและเสียเงินมากขึ้น

สรุปสิ่งที่ควรเตรียมก่อนออกเดินทาง

1. โทรศัพท์มือถือ 2 เครื่อง เครื่องหนึ่งใช้ใส่ซิมของเมืองไทย อีกเครื่องใส่ซิมประเทศนั้นๆ หรือซิมใหม่ที่ใช้สำหรับเล่นอินเตอร์เน็ท
2. ซิมของประเทศนั้นๆ 
3. Data Roaming Package จากเครือข่ายของประเทศไทย