ทัวร์อิตาลีเหนือ – กลาง (Unseen)
รายละเอียดโปรแกรมทัวร์-ทัวร์อิตาลีเหนือ – กลาง (Unseen)
กำหนดการเดินทาง
รอบที่ | วันเดินทาง | ราคา |
---|---|---|
1 | 11 ก.ย. 67 - 22 ก.ย. 67 | 209,900 บาท |
2 | 12 ต.ค. 67 - 23 ต.ค. 67 | 209,900 บาท |
สถานที่สำคัญ
- 1ชมเส้นทาง Val D’Orcia เส้นทางท้องทุ่งสุดสวยของแคว้นทัสคานี ที่มีชื่อเสียงทั่วโลก (Unesco)
- 2ชมหมู่บ้าน Civita di Bagnregio อายุเก่าแก่กว่า 2,000ปี ! (Unseen)
- 3ชมรัฐอิสระ San Marino รัฐอิสระเล็กเป็นอันดับ 3 ของโลก (Unseen) (Unesco)
- 4ชมหมู่บ้าน Cinque Terre หมู่บ้านหน้าผาริมทะเล ที่สวยที่สุดในโลก (Unesco)
- 5หมู่บ้าน San Gimignano หมู่บ้านที่ได้รับการยอมรับว่าสวยที่สุดในทัสคานี (Unesco) (Unseen)
- 6ชมหมู่บ้าน Pienza หมู่บ้านบนเนินเขาในท้องทุ่งสุดสวยของทัสคานี (Unesco) (Unseen)
- 7ชมหมู่บ้าน Bellagio & Varenna ในทะเลสาบ Como Lake ทะเลสาบที่สวยที่สุดในอิตาลี
- 8ชมหมู่บ้าน Montepulciano หมู่บ้านบนเนินเขาสุดสวยในท้องทุ่งทัสคานี (Unseen)
- 9ชมเกาะ Burano เกาะสีสันลูกกวาดสุดสวย (Unseen)
- 10ชมเกาะ Isola Bella ในทะเลสาบ Maggiore หนึ่งในสถานที่ Unseen สุดสวย
- 11ชมเมือง Siena เมืองโบราณแห่งแคว้นทัสคานี สไตล์อิตาลี ได้รับ (Unesco)
- 12ชมเมือง Bologna หนึ่งในเมืองสวยของอิตาลี (Unesco)
- 13ชมเมือง Ravenna ศูนย์กลางจักรวรรดิไบแซนไทน์ (Unesco)
- 14ชมเกาะ Venice เกาะที่โรแมนติคที่สุดของโลก (Unesco)
- 15ชมเมือง Milan เมืองแห่งแฟชั่นของโลก
- 16นำท่านชิมและชมการบ่มไวน์ (Wine Tasting) ไวน์ที่มีชื่อเสียงแห่งแคว้นทัสคานี
สนามบินสุวรรณภูมิ - กรุงเทพฯ - โดฮา
- 18.00 น. คณะพร้อมกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ ชั้น 4 เคาน์เตอร์ M ประตู 6 สายการบินการ์ตาร์ แอร์เวย์ พบเจ้าหน้าที่บริษัทอำนวยความสะดวกในการเช็คอิน
- 20.00 น. ออกเดินทางสู่โดฮา โดยสายการบินการ์ตาร์ แอร์เวย์ เที่ยวบินที่ QR 835
***หมายเหตุ ไฟล์ทบินอาจมีการเปลี่ยนแปลง***
โดฮา - กรุงโรม (อิตาลี) - ซิวิตา ดิ แบนอริจิโอ - เซียน่า
- 23.00 น. เดินทางถึง ท่าอากาศยานนานาชาติโดฮา (แวะพักเปลี่ยนเครื่อง)
- 02.35 น. นำท่านเดินทางสู่กรุงโรมโดยสายการบินการ์ตาร์ แอร์เวย์ เที่ยวบินที่ QR 115
- 07.25 น. เดินทางถึงทางอากาศนานาชาติฟูมิชิโน่ กรุงโรม ประเทศอิตาลี หลังผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรแล้ว
- จากนั้นนำท่านเดินทางสู่หมู่บ้าน ซิวิตา ดิ แบนอริจิโอ (Civita di Bagnoregio) (Unseen) (ระยะทาง 150 กม. ใช้เวลาประมาณ 2 ชม.) หมู่บ้านเล็กๆ บนเนินเขาในแคว้นลาซิโอใกล้ๆกรุงโรม มีการตั้งถิ่นฐานมาตั้งแต่ 2,500 ปี ภายในมีบ้านเรือนที่ทำจากหินอายุหลายร้อยปี มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ได้รับการยอมรับว่าคือ เพชรเม็ดงามแห่งแคว้นลาซิโอ มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 100 คนเท่านั้น ยิ่งในฤดูหนาวจะมีประชากรอาศัยอยู่ไม่ถึง 20 คน
- จากนั้นให้ท่านเดินขึ้นชมเมืองด้านบน
*** หมายเหตุ ทางเดินขึ้นหมู่บ้านเป็นสะพานยาว และลาดชัน ระยะทางประมาณ 700 เมตร ไม่แนะนำให้ท่านที่มีปัญหาเกี่ยวกับขา หัวเข่า เดินขึ้น หรือผู้สูงอายุ หรือวิลแชร์ **
- นำท่านเดินชมเมือง เลือกซื้อของฝากตามอัธยาศัย จากนั้นได้เวลานัดหมายนำท่านกลับลงสู่ด้านล่าง
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
- จากนั้นนำท่านเดินทางสู่เมือง เซียน่า (SIENA) หรือเมืองซีเอน่า (ระยะทาง 130 กม. ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. 30 นาที) เมืองใหญ่อันดับ 2 ในแคว้นทัสคานี ถือเป็นเมืองในยุคกลางที่ถือว่าเป็นเมืองคู่แข่งของเมืองฟลอเรนซ์ เมืองเซียน่ายังได้รับการยอมการประกาศเป็นเมืองมรดกโลก (Unesco) อีกด้วย เนื่องจากความเก่าแก่และความสวยงามและการอนุรักษ์ไว้อย่างดีของชาวเมืองเซียน่า
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
FOUR POINTS BY SHERATON SIENA หรือระดับเทียบเท่า 4 ดาว (พัก 2 คืน)
หมายเหตุ : เซียน่า มีโรงแรมจำกัด หากโรงแรมเต็มทางบริษัทขอสงวนสิทธิ์ย้ายไปพักเมืองข้างเคียง
เซียน่า - Val D’Orcia - Wime Tasting - ปิเอนซ่า - มอนเตปุลเชียโน - เซียน่า
รับประทานอาหารเช้าแบบอเมริกัน ณ โรงแรมที่พัก
- นำท่านออกเดินทางสู่เส้นทาง วาดอร์เซีย (Val D’Orcia) เส้นทางที่ว่ากันว่าสวยที่สุดในแคว้นทัสคานีระหว่างทางท่านจะได้เห็นวิวท้องทุ่ง ที่มีบ้านชาวนา และต้นไซเปรซ ที่ยืนเด่นตามแนวท้องทุ่งได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลก (Unesco) ให้เป็น World Cultural Landscape ซึ่งหลายๆทิวทัศน์แห่งนี้ถูกเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนต์ของ Hollywood
- ให้ท่านได้เพลิดเพลินวิวตลอดสองข้างทาง
- จากนั้นนำท่านเข้าชมโรงงานบ่มไวน์ ให้ท่านได้ชมกรรมวิธีการบ่มไวน์ และชิมไวน์ (Wine Tasting) ที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก อย่างไวน์ Brunello di Montalcino หรือ Chianti Classico จากนั้นให้ท่านได้เลือกซื้อไวน์ตามอัธยาศัย
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
- จากนั้นนำท่านสู่เมือง ปีเอนซ่า (Pienza) หรือเพียนซ่า (ระยะทาง 23 กม. ใช้เวลาประมาณ 30 นาที) เมืองปีเอนซ่า เป็นเมืองเล็กๆที่สวยงามยุคเรอเนสซองซ์ เป็นหมู่ที่นักท่องเที่ยวต่างหลงไหล เดิมมีชื่อเรียกว่า Corsignano และเป็นบ้านเกิดของ Pope Pius II ซึ่งได้รับคัดเลือกให้เป็นพระสันตะปาปาในปี ค.ศ.1458 หลังจากได้รับตำแหน่งเมืองนี้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ทั้งหมดและเปลี่ยนมาเป็นชื่อปีเอนซ่า หรือเพียนซ่า เพื่อเป็นเกียรติศักดิ์แก่ตนเอง
- นำท่านเดินเล่นถ่ายรูปกับพระราชวังองค์สันตะปาปา บ้านเรือนที่ยังคงถูกอนุรักษ์ไว้อย่างดี ซึ่งยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก (Unesco)
- จากนั้นให้ท่านได้ชมวิวจากตัวเมืองมองลงไปเห็นท้องทุ่งแห่งแคว้นทัสคานี และ เลือกซื้อสินค้าตามอัธยาศัย จนกระทั่งได้เวลาพอสมควร
- จากนั้นนำท่านเดินทางสู่เมือง มอนเตปุลเชียโน (Montepulciano) (ระยะทาง 15 กม. ใช้เวลาประมาณ 25 นาที) เป็นเมืองที่มีความสวยงามอีกแห่งของทัสคานี ตั้งอยู่บนเนินเขาในจังหวัดเซียน่าของอิตาลีทางตอนใต้ ที่นี่เป็นเมืองยุคกลางที่เต็มไปด้วยพระราชวังยุคเรอเนสซองส์ที่สง่างาม โบสถ์โบราณจัตุรัสที่มีเสน่ห์ และมุมสวยๆที่ซ่อนอยู่ โดยมีทัศนียภาพกว้างไกลของหุบเขา Val d’Orcia และหุบเขา Val di Chiana ล้อมรอบ เมือง Montepulciano ได้รับความสนใจอย่างมากเพราะเป็นหนึ่งในสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์อันโด่งดัง เรื่อง Twilight: New Moon ทำให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาตามรอยกันอย่างคึกคัก นอกจากทัศนียภาพอันน่าทึ่งของเมืองชนบทโดยรอบที่ปกคลุมไปด้วยไร่องุ่นแล้ว เมืองแห่งนี้ก็มีชื่อเสียงด้านอาหารการกิน ขึ้นชื่อในเรื่องเนื้อหมู ชีส พาสต้า น้ำผึ้ง และสิ่งที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ก็คือ ไวน์ Montepulciano ซึ่งถือเป็นหนึ่งในไวน์ชั้นเลิศของอิตาลี
- นำท่านเดินเล่นเมืองมอนเตปุลเชียโน
- จากนั้นได้เวลานำท่านเดินทางกลับสู่โรงแรมที่พัก
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
FOUR POINTS BY SHERATON SIENA หรือระดับเทียบเท่า 4 ดาว
หมายเหตุ : เมืองเซียน่า มีโรงแรมจำกัด หากโรงแรมเต็มทางบริษัทขอสงวนสิทธิ์ย้ายไปพักเมืองข้างเคียง
เซียน่า - ซาน จิมิยาโน - วาเลียโจ
รับประทานอาหารเช้าแบบอเมริกัน ณ โรงแรมที่พัก
- นำท่านเข้าสู่จตุรัส เดล คัมโป (Piazza del Campo) เป็นจตุรัสใจกลางเมืองที่บ่งบอกประวัติศาสตร์ของเมืองเซียน่าได้เป็นอย่างดี และได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในจตุรัสที่สมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญๆ จำนวนมาก
- นำท่านเข้า ชมมหาวิหารเมืองเซียน่า (Duomo di Siena) มหาวิหารประจำเมืองเซียน่า ที่ถูกสร้างขึ้นในปี 1200 ด้วยสไตล์กอธิคและเรเนซองส์ ที่ประดับประดาตกแต่งอย่างวิจิตรอลังการและสวยงามมาก โดยเฉพาะด้านในของตัววิหารที่บอกเล่าเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับเมืองเซียน่าไว้ได้อย่างสวยงามและเป็นโบสถ์ 1 ใน 5 โบสถ์ที่สวยที่สุดในประเทศอิตาลี อีกด้วย
- จากนั้นชมเมืองเก่าเซียน่า (SIENA OLD TOWN) ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก้ในปี 1995 (UNESCO) ชมความเป็นเมืองเก่าสมัยฟื้นฟูศิลปะวิทยาการหรือยุคเรอเนสซองส์ เต็มไปด้วยอาคารต่างๆ โบสถ์ และพิพิธภัณฑ์ และสัมผัสบรรยากาศของประวัติศาสตร์และร้านค้ามากมาย เซียน่าเป็นเมืองคู่แข่งของฟลอเรนซ์ในเรื่องของศิลปะและสถาปัตยกรรม
(หมายเหตุ : การเปิด-ปิดให้เข้าชมโบสถ์ หากกรณีมีการประกอบพิธีสำคัญไม่อนุญาติให้เข้าชมด้านในโบสถ์ ทางบริษัทขอสงวนสิทธิ์ให้ถ่ายรูปด้านนอกเท่านั้น)
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารจีน
- นำท่านเดินทางต่อสู่เมือง ซาน จิมิยาโน (SAN GIMIGNANO) (ระยะทาง 45 กม. ใช้เวลา 1 ชม.) เมืองเล็กๆ ที่มีทิวทัศน์งดงามที่สุดในแคว้นทัสคานี ตั้งอยู่บนเนินเขาที่ล้อมรอบด้วยกำแพงเมืองโบราณ เป็นเมืองแห่งสุดยอดสถาปัตยกรรมของยุคกลาง โดยเฉพาะหอคอยสูงตระหง่าน 14 หอ ที่สามารถมองเห็นได้แม้อยู่ห่างจากตัวเมืองหลายกิโลเมตร เป็นเมืองเดียวในอิตาลี่ที่สามารถอนุรักษ์สิ่งก่อสร้างและสถาปัตยกรรมยุคกลางไว้ได้อย่างครบถ้วนจนได้รับการประกาศเป็นเมืองมรดกโลกโดยองค์กร (UNESCO)
- นำท่านถ่ายรูปกับโบสถ์ประจำเมือง (SAN GIMIGNANO DUOMO) โบสถ์หลักประจำเมืองตั้งอยู่ในจัตุรัสดูโอโม (PIAZZA DEL DUOMO) ภายในมีการตกแต่งแบบโรมาเนสก์ และมีภาพเฟรสโกตกแต่งกำแพงภายในโบสถ์ที่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนา ชมภายนอกพระราชวังโปโปโล (POPOLO PALACE) อดีตเป็นที่ตั้งของศาสนา คริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ทรงกระบอก 8 ชั้น สร้างด้วยหินอ่อนสีขาว สูง 55.86 เมตร น้ำหนักรวม 14,500 ตัน มีบันได 293 ขั้น เอียง 3.97 องศา ยอดของหอห่างจากแนวตั้งฉากประมาณ 3.9 เมตร ชม La Rocca ป้อมโบราณสมัยศตวรรษที่ 14
- จากนั้นนำท่านเดินทางสู่เมืองวาเลียโจ (Viareggio) (ระยะทางประมาณ 100 กม ใช้เวลา 1.20 ชม.)
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
PALACE HOTEL VIAREGGIO หรือระดับเทียบเท่า 4 ดาว (พัก 2 คืน)
วาเลียโจ - ลา สเปเซีย - หมู่บ้านชิงเกว่ แตร์เร - วาเลียโจ
รับประทานอาหารเช้าแบบอเมริกัน ณ โรงแรมที่พัก
- จากนั้นนำท่านเดินทางสู่เมือง ลา สเปเซีย (La Spezia) เมืองท่าที่เป็นประตูสู่ 5 หมู่บ้านริมทะเลที่สวยที่สุดในโลก) (ระยะทางประมาณ 70 กิโลเมตร ใช้เวลา 1 ชม.)
- จากนั้นนำท่านนั่งรถไฟสู่หมู่บ้าน ชิงเกว่ แตร์เร (CINQUE TERRE) หมู่บ้านเล็กๆที่ตั้งอยู่บน ชายฝั่งริเวียร่าของอิตาลี CINQUE TERRE มีความหมายว่า ห้าดินแดน (FIVE LANDS) ประกอบด้วยหมู่บ้าน 5 แห่งได้แก่ VERNAZZA,MANAROL, RIOMAGGIORE,CORNIGLIA. MONTEROSSO AL MARE โดยทั้งห้าหมู่บ้านนี้มีหุบเขาล้อมรอบประกอบกันเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติฯ และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก้ด้วย (UNESCO) เรานำท่านชมหมู่บ้านเพียง 2 หมู่บ้านที่สวยที่สุด คือ
- หมู่บ้าน MANAROLA
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
- หมู่บ้าน RIOMAGGIORE
- จากนั้นได้เวลานำท่านเดินทางกลับสู่โรงแรมที่พัก
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
PALACE HOTEL VIAREGGIO หรือระดับเทียบเท่า 4 ดาว
วาเลียโจ - โบโลญญ่า - ราเวนนา - ริมินี
รับประทานอาหารเช้าแบบอเมริกัน ณ โรงแรมที่พัก
- จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ เมืองโบโลญญ่า (Bologna) (ระยะทางประมาณ 170 กิโลเมตร ใช้เวลา 2 ชม.) เมืองประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงทางด้านท่องเที่ยวและเป็นเมืองหลวงของแคว้นเอมีเลีย-โรมัญญ่า (Emilia-Romagna) 1 ใน 20 แคว้นของประเทศอิตาลี โดยตัวเมืองนั้นตั้งอยู่ในหุบเขาโปทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี โดยตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำโปกับเทือกเขาแอเพนไนน์ นอกจากนี้แล้ว เมืองโบโลญญ่ายังเป็นหนึ่งในเมืองยุคกลางที่ได้รับการเก็บรักษาไว้ดีที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป อีกทั้งยังเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักท่องเที่ยวทั้งในและชาวต่างชาติ ด้วยชื่อเสียงในเรื่องความสวยงาม และยังเป็นที่ตั้งมหาวิทยาลัยที่เก่าที่สุดในโลก คือ University of Bologna ก่อตั้งตั้งแต่ปีคริสตศักราชที่ 1088 อีกด้วย
- จากนั้นนำท่านชมเมืองโบโลญญา เริ่มตั้งแต่หอคอยคู่ (Due Torri) หอคอยแห่งนี้ ขึ้นชื่อว่าเป็นหอคอยที่สูงมากของเมืองโบโลญญ่า มีความสูง 97.2 เมตร มีหอคู่กันสูง 48 เมตร ซึ่งสามารถขึ้นไปบนยอดหอคอย เพื่อชมทัศนียภาพที่สวยงามของเมืองแบบพาโนรามาได้ และยังจัดว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองโบโลญญ่า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของป้อมปราการรักษาเมืองในอดีตด้วย
- นำท่านเข้าชม วิหารนักบุญอุปถัมภ์ (Basilica San Petronio) ที่นี่เป็นมหาวิหารและคริสตจักรของอัครสังฆมณฑลโบโลญญา ทางตอนเหนือของอิตาลี ถูกสร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับนักบุญอุปถัมภ์ของเมือง เริ่มก่อสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1390 การออกแบบตกแต่งทางสถาปัตยกรรมต่างๆ ยังถูกรักษาไว้ได้สวยงามเป็นอย่างดี
- จากนั้นำท่าสู่ ลานจัตุรัสกลางเมือง (Piazza Maggiore) ลานแห่งนี้ เป็นอีกหนึ่งจัตุรัสที่สำคัญ ซึ่งมีอาคารเก่าแก่ล้อมรอบอยู่ ตั้งอยู่ในกลางเมืองเก่า มีทั้งที่ทำการเมืองเก่า โบสถ์ต่างๆ ที่สวยงาม ลานน้ำพุเทพเนปจูน และอาคารอื่นๆ ซึ่งมีลวดลายทางสถาปัตยกรรมอันประณีต จนต้องเดินทางมาเที่ยวที่ลานเมืองเก่านี้เป็นอันดับต้นๆ
- อิสระให้ทุกท่านเดินเล่นช้อปปิ้งตามอ้ธยาศัย
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารจีน
- จากนั้นนำท่านเดินทางสู่เมือง ราเวนนา (Ravenna) เป็นเมืองที่อยู่ในแคว้นเอมีเลีย-โรมัญญา ประเทศอิตาลี ราเวนนาเคยเป็นเมืองหลักของจักรวรรดิโรมันตะวันตก และอาณาจักรออสโตรกอท (Ostrogoth Kingdom) ในเวลาต่อมา ปัจจุบันเป็นเมืองหลวงของจังหวัดราเวนนา มีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 652 ตารางกิโลเมตร ราเวนนาเป็นเมืองที่มีเนี้อที่ใหญ่เป็นที่สองของอิตาลีรองจากกรุงโรม เป็นเมืองที่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่เเสนจะสวยงามอีกเเห่งของอิตาลี โดยมีชื่อเสียงอย่างมากในเรื่องของกระจกโมเสก
- จากนั้นนำท่านชม มหาวิหารแห่งซาน วิตาเล (San Vitale Basilica) ตั้งอยู่กลางเมืองราเวนนา สาธารณรัฐอิตาลี ซึ่งเป็นศูนย์กลางจักรวรรดิไบแซนไทน์ (Byzantine Empire) ในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 6 ในรัชกาลจักรพรรดิจัสติเนียนที่ 1 (Justinian I) มหาวิหารถูกสร้างขึ้นตามบัญชาของบิชอปเอเคลซิโอ (Ecclesio) ในปี ค.ศ. 532 และเสร็จสมบูรณ์ในสมัยของบิชอปแมกซีเมียนนุส (Maxmianus) บิชอปแห่งราเวนนา คนต่อมา ภายใต้การอุปถัมภ์ของจูลิอุส อาเจนตาริอุส (Julius Argentarius) นายธนาคาร ผู้มีบทบาทสำคัญในการสร้างอารามหลายแห่งในเมืองราเวนนา อย่างมหาวิหารแห่งซานอะโพลินาเรที่คลาสเซ (Basilica di Sant’Apollinare in Classe) ในปีค.ศ. 549 อาคารทั้ง 2 ถือเป็นตัวอย่างสำคัญของสถาปัตยกรรมในสมัยคริสเตียนตอนต้น (Early Christian Architecture) ที่ยังคงสภาพสมบูรณ์มาจนถึงปัจจุบัน
- จากนั้นนำท่านเข้าชม โบสถ์ศีลจุ่มเนโอเนียน (Neon Baptistery) ในอดีตคือสถานที่ทำพิธีศีลจุ่มอิฐยุคแรกในศตวรรษที่ 5 ในใจกลางเมือง อาคารแปดเหลี่ยมเป็นอาคารที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในราเวนนาและถือว่าเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดและสมบูรณ์แบบที่สุดของโบสถ์คริสเตียนยุคแรกที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน กระเบื้องโมเสคที่เรียงรายเรียงเป็นแถวทั้งโดมซึ่งเป็นเหรียญโมเสคขนาดใหญ่ที่ด้านบนของภาพการล้างบาปของพระเยซูโดย John the Baptist
- จากนั้นนำท่านผ่านชม Sant’Apollinare Nuovo โบสถ์นิกายโรมันคาทอริกแห่งนี้ ถูกสร้างขึ้นเวลาเดียวกันกับ Arain Baptistry คือในช่วงปลายๆ ศตวรรษที่ 5 ถึงปลายศตวรรษที่ 6 ตามคำสั่งของ Theodoric ความงดงามของผนังโมเสส ดึงดูดนักท่องเที่ยวมาสู่มหาวิหาร ซาน อพอลลินาเร นูโอโว มหาวิหารนี้เป็นศาสนสถานที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในราเวนนา และเคยตกเป็นของศาสนาอื่นๆ ก่อนที่จะมาเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักรคาทอลิก มหาวิหารเป็นหนึ่งในมรดกโลกของเมืองราเวนนาที่ได้รับการขึ้นทะเบียนโดยองค์การยูเนสโก นำท่านชมศิลปะภายในวิหาร ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญที่สุดส่วนหนึ่งของที่นี่มหาวิหารนี้สร้างขึ้นเป็นโบสถ์ของลัทธิเอเรียสเพื่อถวายแด่พระเยซูคริสต์ผู้ไถ่บาป โดยพระเจ้าธีโอดอริคมหาราชในต้นศตวรรษที่ 6 ในปี 561 ชาวไบแซนไทน์ได้อุทิศโบสถ์ให้แก่นักบุญมาร์แต็งแห่งตูร์ ผู้เป็นศัตรูของลัทธิเอเรียส ชื่อปัจจุบันของโบสถ์ตั้งขึ้นใน 3 ศตวรรษต่อมา หลังจากที่อัฐิของนักบุญอพอลลินาริสได้รับการย้ายมาที่นี่
- จากนั้นนำท่านเดินทางสู่เมืองริมินี (Rimini) หนึ่งในเมืองตากอากาศริมทะเลที่มีชื่อเสียง ของประเทศอิตาลี (ระยะทางประมาณ 55 กิโลเมตร ใช้เวลา 45 นาที)
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
ASTORIA SUITE HOTEL RIMINI หรือระดับเทียบเท่า 4 ดาว
หมายเหตุ : เมืองริมินีมีโรงแรมจำกัด หากโรงแรมเต็มทางบริษัทขอสงวนสิทธิ์ย้ายไปพักเมืองข้างเคียง
ริมินี - ซาน มารีโน่ (รัฐอิสระ) - เมสเตร้
รับประทานอาหารเช้าแบบอเมริกัน ณ โรงแรมที่พัก
- นำท่านเดินทางสู่ ซาน มารีโน่ (SAN MARINO) หรือสาธารณรัฐซานมารีโน่ (REPUBBLICA DI SAN MARINO) อิสระเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในประเทศอิตาลี ถือเป็นรัฐอิสระเล็กเป็นอันดับ 3 ของโลก มีประวัติและอิสระภาพเกือบ 2,000 ปี เป็นรัฐอิสระ 1 ใน 2 ที่อยู่ในประเทศอิตาลี ซึ่งอีกประเทศหนึ่งก็คือ รัฐวาติกัน (ระยะทางประมาณ 20 กิโลเมตร ใช้เวลา 20 นาที)
- จากนั้นนำท่านนั่ง CABLE CAR ขึ้นสู่ยอดเขาอัพเพนนินี ที่ตั้งของเมืองซาน มาริโน
- นำท่านชมตัวเมืองของซานมารีโน่ ตั้งอยู่บนเขาอัพเพนนินี ล้อมรอบโดยแคว้น เอมีเลียโรมาญา กับแคว้นมาร์เก ของอิตาลี ไม่มีทางออกสู่ทะเล โดยที่ตั้งสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 800 เมตร มีพื้นที่ 61.5 ตารางกิโลเมตร มีประชากรประมาณ 32,000 คนเท่านั้นเองเเละส่วนใหญ่นับถือคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิก โดยมีการปกครองแบบสาธารณรัฐมาตั้งเเต่ก่อตั้งประเทศเมื่อ ค.ศ. 257 นับว่าเป็นประเทศที่ปกครองเเบบสาธารณรัฐที่เก่าเเก่มากที่สุดในโลกที่ยังคงดำรงค์อยู่ถึงปัจจุบัน โดยมีการเเบ่งออกเป็น 9 เขตด้วยกันทั้ง อักกวาวีวา, บอร์โกมัจโจเร, กีเอซานูโอวา, โดมัญญาโน, ฟาเอตาโน, ฟีโอเรนตีโน, มอนเตจาร์ดีโน เเละ แซร์ราวัลเล โดยมี นครซานมารีโน เป็นเมืองหลวง โดยภูมิอากาศของที่นี่จะเป็นในเเบบเมดิเตอร์เรเนียน เเละรายได้หลักของประเทศก็มาจากการท่องเที่ยวเป็นส่วนใหญ่ ซานมารีโน นั้นตั้งอยู่ในภูมิประเทศที่เป็นเทือกเขาสูง ทำให้สามารถรักษาเอกราชมาได้ตลอดระยะเวลาตั้งเเต่ก่อตั้งประเทศขึ้นมา โดยต้องย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 257 เมื่อครั้งที่อาณาจักรโรมันยังรุ่งเรือง เเละคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิก เริ่มเป็นที่เผยเเพร่ในอาณาจักรโรมัน เเต่ยังไม่เป็นที่ยอมรับจากทางการโรมันมากนัก ทำให้เกิดการกวาดล้างชาวคริสต์อยู่ตลอดเวลา จนเป็นเหตุผลที่ทำให้ช่างหินคนหนึ่งที่มีชื่อว่า มารีนุส อพยพหนีการตามล่าของทหารโรมันมายังบริเวณมอนเตตีตาโน ซึ่งก็คือซานมารีโนในปัจจุบันนั่นเอง พร้อมกับได้เริ่มตั้งถิ่นฐานในบริเวณนี้ เนื่องจากคามเป็นภูเขาสูง ห่างไกล เเละทุรกันดาร กองทหารโรมันจึงไม่สนใจในการตามล่าพวกเขา ทำให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุข จนก่อเกิดเป็นรัฐอิสระขึ้นมา เเละภายหลังได้ใช้ชื่อตาม มารีนุส ซึ่งเป็นบุคคลเเรกที่มาตั้งถิ่นฐานบริเวณนี้ เเละต่อมาเขาได้รับการยกย่องเป็นนักบุญองค์หนึ่งในชื่อว่า ซานมารีโน นั่นเอง
- นำท่านเข้าสู่บริเวณจัตุรัส Piazza della Libertà เป็นจัตุรัสกลางเมืองหลักที่นักท่องเที่ยวต่างพากันมา โดยบริเวณจัตุรัสเป็นที่ตั้งของอาคารสาธารณะรัฐซานมาริโน โดยจะมีการผลัดเปลี่ยนเวรยามด้านหน้าอาคารด้วย
- จากนั้นให้ท่านเดินเล่นชมเมืองหรือเลือกซื้อสินค้าที่ระลึกตามอัธยาศัย
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
- จนได้เวลานัดหมายนำท่านนั่ง Cable Car กลับลงสู่ด้านล่าง
- จากนั้นนำท่านเดินทางสู่เมืองเมสเตร้ (Mestre) เมืองประตูสู่เกาะเวนิส (ระยะทาง 290 กม. ใช้เวลาเดินทาง 4 ชม.)
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
FOURPOINT BY SHERATON VENICE MESTRE HOTEL หรือระดับเทียบเท่า 4 ดาว (พัก 2 คืน)
เมสเตร้ - เกาะบูราโน - เกาะเวนิส - เมสเตร้
รับประทานอาหารเช้าแบบอเมริกัน ณ โรงแรมที่พัก
- นำท่านนั่งเรือสู่ เกาะบูราโน่ (Burano) เกาะบูราโน่อยู่ห่างจากเมืองเวนิสไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 11 กิโลเมตร มีประชากรท้องถิ่นประมาณ 3,000 คน ชื่อ “Burano” มาจากภาษาท้องถิ่นว่า “Porta Boreana” มีความหมายว่า “ประตูเมืองด้านเหนือ” เกาะแห่งนี้มีความโดดเด่นจากอาคารบ้านเรือนที่มีสีสันสดใสตัดกับสีของท้องฟ้าและท้องทะเล เกิดเป็นทัศนียภาพที่มีความสวยงามเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ในอดีตบ้านเรือนที่สร้างในช่วงแรกที่มีประชากรอพยพมาตั้งถิ่นฐานนั้นสร้างจากโคลนและไม้ ต่อมาเมื่อมีการตั้งรกรากอย่างจริงจังจึงมีการพัฒนาที่อยู่อาศัยโดยการก่อสร้างอาคารบ้านเรือนด้วยอิฐเพื่อความคงทนแข็งแรงและทาด้วยสีสันสดใส ข้อสันนิษฐานของการทาสีบ้านด้วยสีสันฉูดฉาดอาจเป็นเพราะในอดีตชาวประมงต้องการทำสัญลักษณ์ให้สังเกตเห็นเกาะได้ง่าย เพื่อที่ชาวประมงจะได้สามารถมองเห็นเกาะที่เป็นบ้านของตัวเองได้จากนอกชายฝั่งเมื่อออกเรือไปหาปลาในระยะไกล และยังมีหอเอียงแห่งบูราโน่ (Burano’s Leaning Bell Tower) ซึ่งเป็นหอระฆังความสูง 53 เมตรที่มีความเอียงจากการทรุดตัวของพื้นดินด้านล่าง นอกจากทัศนียภาพอันสวยงามบนเกาะแล้ว ที่นี่ยังมีชื่อเสียงด้านงานหัตถศิลป์ในการถักทอผ้าลูกไม้ ซึ่งจัดเป็นศิลปาชีพท้องถิ่นของเกาะแห่งนี้ที่สร้างรายได้จำนวนมากให้กับชาวบ้าน และยังมีร้านค้าและร้านขายของที่ระลึกให้ซื้อสินค้าติดมือกลับไปได้อีกด้วย
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
- จากนั้นนำท่านนั่งเรือสู่เกาะเวนิส (Venice) หรือ เวเนเซีย จุดหมายปลายทางอันสุดโรแมนติกของเหล่าคู่รัก ตั้งอยู่แคว้นเวเนโต เมืองเวนิสเป็นเกาะ ที่อยู่ห่างออกไปในทะเลเอเดรียติก เกิดจากการเชื่อมเกาะเล็กๆ จำนวน 118 เกาะและมีสะพานเชื่อมมากกว่า 400 แห่ง เป็นเมืองที่มีคลองมากที่สุดในโลก ด้วยความสวยงามราวกับเป็นภาพที่อยู่ในความฝัน ไม่มีใครที่ไม่รู้จักเกาะแห่งนี้ ได้รับฉายามากมาย ไม่ว่าจะเป็น ราชินีแห่งทะเลเอเดรียติก (Queen of the Adriatic) ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก้ด้วย (UNESCO) เวนิสเป็นเมืองที่มีการใช้คลองสำหรับการคมนาคมทำให้เรือเป็นพาหนะเป็นหลัก เมืองในฝันแห่งนี้จึงไม่มีความวุ่นวายของมลพิษหรือเสียงดังจากรถยนต์
- ให้ท่านได้ถ่ายภาพคู่กับสะพานถอนหายใจหรือสะพานสะอื้น ที่เชื่อมต่อระหว่าง “Doge Palace” ซึ่งเคยเป็นที่ประทับของเจ้าผู้ครองนครเวนิสในอดีต อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางของการปกครองแคว้นในยุคสมัยนั้นอีกด้วย
- นำท่านชม จัตุรัสเซนต์มาร์โค ที่มีโบสถ์เซนต์มาร์คเป็นฉากหลัง สร้างด้วยสถาปัตยกรรมไบแซนไทน์ อิสระเลือกช้อปปิ้งสินค้าพื้นเมืองของเวนิสตามอัธยาศัย อาทิ เครื่องแก้วมูราโน่ ต้นตำรับของการเป่าแก้วของชาวมูราโน่ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะมาตั้งแต่บรรพชน โดยเครื่องแก้วแต่ละชิ้นมีรูปแบบ และคุณภาพเป็นที่ยอมรับจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก
- จากนั้นนำท่านชมสะพานริอัลโต (Ponte di Rialto) สะพานที่เก่าแก่ที่สุดและมีชื่อเสียงสุดในเวนิส และเป็นสัญลักษณ์อีกอย่างของเมืองเวนิส เป็นจุดถ่ายภาพที่สำคัญแห่งหนึ่ง จุดเด่นของสะพานรีอัลโตคือมีหลังคาคลุมสะพานที่สวยงามซึ่งเป็นสะพานแบบมีหลังคานี้สร้างโดย Antonio Da Ponte ชนะจิตรกรชื่อดังอย่าง Michelangelo ในการทำสัญญาว่าจ้างก่อสร้างสะพานนี้ สะพาน Rialtoสร้างขึ้นแทนที่สะพานเก่าสมัยปลายศตวรรษที่ 12 โดยผสมผสานความงามเข้ากับประโยชน์ใช้สอย ส่วนโค้งของสะพานมีความสูง 7.5 เมตร ซึ่งสูงพอให้เรือลอดผ่านไปได้ และยังเป็นย่านการค้าเก่าแก่ของเมืองมาตั้งแต่พันปีก่อนคริสตกาล
- จากนั้นอิสระให้ท่านเดินเล่นชมเมืองเวนิสหรือเลือกซื้อสินค้าตามอัธยาศัย
- จากนั้นนำท่านนั่งเรือกลับสู่แผ่นดินใหญ่ เมือง เมสเตร้
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารอาหารจีน
FOURPOINT BY SHERATON VENICE MESTRE HOTEL หรือระดับเทียบเท่า 4 ดาว
เมสเตร้ - เซอร์มิโอเน - โคโม่
รับประทานอาหารเช้าแบบอเมริกัน ณ โรงแรมที่พัก
- นำท่านออกเดินทางสู่ เมืองเซอร์มิโอเน (Sirmione) (ระยะทางประมาณ 145 กิโลเมตร ใช้เวลา 1.45 ชม.) ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี เมืองนี้ถูกล้อมรอบด้วยมหาสมุทรเป็นดั่งเมืองลอยน้ำที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ เพราะยังมีซากปรักหักพังของโบราณสถานหลายร้อยปีก่อนตั้งอยู่ที่นี่ โดยมีฉายาว่าเป็น “ไข่มุกแห่งคาบสมุทรเซอร์มิโอ” และยังเป็นดั่งดั่งเมืองเวนิสสอง เพราะบ้านเมืองในเซอร์มิโอเนยังอยู่ท่ามกลางแหล่งน้ำและด้วยลักษณะภูมิประเทศที่เป็นแหลมยื่นเข้าไปในทะเลสาบการ์ดา (Garda) ที่มีความสวยงาม สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงามกว้างไกลและถูกล้อมรอบด้วยทะเลสาบทั้งสองด้าน ในอดีตเคยเป็นเมืองที่มีผู้คนที่มีฐานะในยุคสมัยโรมันใช้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจและปัจจุบันก็เป็นเมืองพักผ่อนริมทะเลสาบที่ได้รับความนิยมอย่างมาก นอกจากนี้เมืองเซอร์มิโอเนยังเป็นที่รู้จักในด้าน “เมืองสปาที่มีชื่อเสียง” เพราะที่นี่มีน้ำพุร้อนที่มีสรรพคุณที่ช่วยในการรักษาเยียวยา เต็มไปด้วยแร่ธาตุที่บำรุงผิวพรรณและทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้อีกด้วย
- จากนั้นนำท่านล่องเรือชมความสวยงามของเมืองเซอร์มิโอเนและ ทะเลสาบการ์ดา
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
- หลังจากนั้นนำท่านเดินชมเมืองให้ท่านได้เลือกซื้อของฝากหรือถ่ายรูปตามอัธยาศัย
- จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ทะเลสาบโคโม่ (Lake Como) (ระยะทางประมาณ 175 กิโลเมตร ใช้เวลา 2 ชม.) เป็นทะเลสาบที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของอิตาลี แต่มีชื่อเสียงด้านความสวยงามมาเป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งรอบๆทะเลสาบจะมีเมืองตากอากาศกระจายตัวอยู่หลายๆเมืองที่เป็นที่นิยมทั้งกับชาวอิตาลีและชาวต่างชาติ ทะเลสาบโคโม่แห่งนี้นั้นตั้งอยู่ในจังหวัดโคโม่ แคว้นลอมบาร์เดีย ที่นอกจากจะได้ขึ้นชื่อว่าเป็นทะเลสาบที่สวยที่สุดในอิตาลี โดยมีความยาวโดยรอบถึง 160 กิโลเมตร บวกกับพื้นที่รอบๆ ทะเลสาบถึง 146 ตารางกิโลเมตร
- นำท่านชม Como Cathedral วิหารทรงโกธิค (Gothic) ผสานไปด้วยกลิ่นอายของสถาปัตยกรรมแบบเรเนซองส์ (Renaissance) เนื่องจากสร้างในช่วงศตวรรษที่ 14 ซึ่งเป็นยุคของการเปลี่ยนแปลงทางด้านศิลปะ จากยุคโกธิคมาสู่ยุคเรเนซองส์
- จากนั้นอิสระให้ท่านเดินชมเมืองโคโม่แสนสวยแห่งนี้
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
BARCHETTA EXCELSIOR HOTEL COMO หรือระดับเทียบเท่า 4 ดาว (พัก 2 คืน)
โคโม่ - ทะเลสาบโคโม่ - วาเรนน่า - เบลลาจิโอ - โคโม่
รับประทานอาหารเช้าแบบอเมริกัน ณ โรงแรมที่พัก
- จากนั้นนำท่านเดินทางสู่เมือง วาเรนน่า (Varenna) เป็นจุดหมายปลายทางที่มีวิถีชีวิตแบบเรียบง่าย ผู้ที่มาเที่ยวพักผ่อนที่นี่มาเพื่อผ่อนคลายริมทะเลสาบ เป็นเมืองเก่าพันปี เป็นหมู่บ้านชาวประมงโบราณ เมืองนี้นักท่องเที่ยวชอบมากันเป็นเมืองที่สวยทีสุดในทะเลสาบโคโม่ บ้านเรือนเรียงรายสีสันสวยงาม เป็นย่านที่มีร้านอาหาร ร้านช้อปปิ้ง และคนมักนิยมมาดูพระอาทิตย์ตกกันที่นี่ เมืองวาเรนน่า ได้รับการขนานนามว่าเป็นทางเดินแห่งรัก เพราะทุกทางที่เดินสุดโรแมนติกทุกมุม
- อิสระให้ท่านเดินเล่นชมเมืองวาเรนนาตามอัธยาศัย
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
- นำท่านนั่งเรือข้ามฟากสู่เมือง เบลลาจิโอ (Bellagio) เมืองเล็กๆ ริมทะเลสาบโคโม่ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นทะเลสาบที่สวยงามที่สุดของอิตาลี ทางตอนเหนือของทะเลสาบคือเทือกเขาแอลป์ อันเปรียบเสมือนป้อมปราการทางธรรมชาติ ที่สร้างฉากหลังอันงดงามอลังการให้กับดินแดนแห่งนี้ เบลลาโจตั้งอยู่ปลายบนของคาบสมุทร โดยถูกแบ่งออกโดยแขนสองข้างทิศใต้ของทะเลสาบ เมืองสามารถเห็นเทือกเขาแอลป์ ทางทิศเหนือได้อีกด้วย
- จากนั้นนำท่านเดินชมเมืองเบลลาจิโอ ให้ท่านได้เดินเล่น เลือกซื้อของที่ระลึกของฝากตามอัธยาศัย
- จากนั้นนำท่านเดินทางกลับโคโม่
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
BARCHETTA EXCELSIOR HOTEL หรือระดับเทียบเท่า 4 ดาว
โคโม่ - สเตรซ่า - เกาะอิโซล่า เบลล่า - มิลาน - สนามบิน
รับประทานอาหารเช้าแบบอเมริกัน ณ โรงแรมที่พัก
- นำท่านออกเดินทางสู่ ท่าเรือสเตรซ่า (Stresa) (ระยะทางประมาณ 90 กิโลเมตร ใช้เวลา 1 ชม. 20 นาที) เมืองตากอากาศน่ารักๆริมทะเลสาบ Maggiore ทะเลสาบที่ตั้งอยู่ในเขตแดนของสองประเทศ คือ สวิส และอิตาลี
- จากนั้นนำท่าน ล่องเรือสู่ เกาะ Isola Bella ซึ่งมีสวนแบบอิตาเลี่ยนที่มีชื่อเสียงและวิลล่าหรูหราศิลปะแบบ Baroque ของตระกูล Borromeo เกาะตั้งอยู่ในทะเลสาบ Maggiore ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี เป็นเกาะเล็ก ๆ ที่มีตระกูล Borromeo เป็นเจ้าของเกาะ แปลตามตัวว่า เกาะที่สวยงาม โดยพื้นที่สองในสามของเกาะเป็นสวนบาร็อคสไตล์อิตาเลี่ยนซึ่งประดับไว้ด้วยรูปปั้น น้ำพุ ต้นไม้หายาก และ ไม้ดอกนานานาพันธุ์ อีกทั้งยังใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำหนังเรื่อง Ocean Twelve อีกด้วย สวนบนเกาะจัดเป็นลานระเบียงซ้อนกันสิบชั้นมีความสูงถึง 120 ฟุต คล้ายกับเนินเขาย่อมๆ การออกแบบดังกล่าวได้เชื่อมพื้นที่ระดับต่างๆเข้ากับอาคารในตัววัง ทำให้สวน และวังดูเป็นหนึ่งเดียวกันได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้งยังทำให้สามารถมองเห็นทัศนียภาพของเกาะโดยรอบ มองเห็นทัศนียภาพที่ไกลออกไป อาทิ แนวเทือกเขาสูง และหมู่บ้านต่างๆที่กระจายอยู่ตามไหล่เขาทุกทิศทาง จนกระทั่งได้เวลาอันสมควร
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารพื้นเมือง
- จากนั้นนำท่านเดินทางสู่เมือง มิลาน (MILAN) (ระยะทาง 85 กิโลเมตร ใช้เวลา 1 ชม. 20 นาที) เมืองสำคัญในภาคเหนือของประเทศอิตาลี ตั้งอยู่ในแคว้นที่ราบลอมบาร์ดีเป็น เมืองที่มีชื่อเสียงในด้านแฟชั่นและศิลปะ ซึ่งมิลานถูกจัดให้เป็นเมืองแฟชั่นในลักษณะเดียวกับ นิวยอร์ก ปารีส ลอนดอน และ โรม
- นำท่านเดินทางเข้าสู่ลานจตุรัสบริเวณ มหาวิหารแห่งมิลานหรือมิลานดูโอโม (DUOMO) สัญลักษณ์ที่โดดเด่นที่สุดของเมืองซึ่งมีขนาดใหญ่โตมโหฬาร สร้างขึ้นด้วย หินอ่อนสีขาวในศิลปะแบบโกธิคใช้เวลาสร้างนานกว่า 500 ปีปัจจุบันเป็นโบสถ์แคธอล์ลิกที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกและเป็นมหาวิหารใหญ่อันดับ 4 ของโลก สูง 157 เมตรกว้าง 92 เมตรเริ่มสร้างในปีค.ศ. 1386 ใช้เวลาก่อสร้าง นานถึง 500 ปีชมความงดงามยอดปราสาทที่มีปลายยอดแหลมกว่า 135 ยอด
- อิสระให้ทุกท่านช้อปปิ้งเลือกซื้อสินค้า บริเวณอาคารแกลเลอเรีย วิคตอริโอ เอมานูเอล 2 (Galleria Vittorio Emanuele II) เป็นห้างหรือศูนย์การค้าที่เก่าแก่ที่สุดในโลก อาคารนี้สวยงามมากๆ พอเข้าไปข้างใน ซึ่งเป็นอาเขตยิ่งสวยงาม เรียกว่าเป็นอาคารช้อปปิ้งที่สวยสุดแห่งหนึ่งของโลกก็ว่าได้ มีชื่อเรียกเล่นๆ ว่าเป็นห้องนั่งเล่นของเมืองมิลาน นอกจากจะมีสินค้าแบรนด์เนมขายแล้ว ยังมีร้านกาแฟที่เรียกกันว่าไซด์วอล์คคาเฟ่ สามารถนั่งจิบคาปูชิโน นั่งดูหนุ่มสาวแต่งกายด้วยเสื้อผ้าทันสมัย
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารอาหารไทย
- จากนั้นได้เวลานำท่านเดินทางสู่สนามบิน
- 23.00 น. ออกเดินทางสู่สนามบินโดฮา โดยสายการบินการ์ตาร์ แอร์เวย์ เที่ยวบิน QR118
***หมายเหตุ ไฟล์ทบินอาจมีการเปลี่ยนแปลง***
โดฮา - สนามบินสุวรรณภูมิ - กรุงเทพฯ
- 05.45 น. เดินทางถึงสนามบินโดฮา (แวะเปลี่ยนเครื่อง)
- 08.30 น. ออกเดินทางสู่ สนามบินสุวรรณภูมิ โดยสายการบินการ์ตาร์ เที่ยวบิน QR 828
- 19.25 น. เดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิ กรุงเทพมหานคร โดยสวัสดิภาพ