ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ (Switzerland) เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่สวยงามและเงียบสงบไม่แพ้ที่ไหน ๆ ในโลก ธรรมชาติสวยงามดังภาพวาด จึงเป็นประเทศที่ใครหลาย ๆ คนฝันอยากจะไปท่องเที่ยว เพื่อสัมผัสกับความงามของที่นี่ด้วยตาของตัวเองสักครั้ง
HappyLongWay จึงขอนำเสนอ 10 สถานที่ในสวิตเซอร์แลนด์ ที่ห้ามพลาด มาดูกันเลย
1. เทือกพิลาทุส (Mt. Pilatus)
ยอดเขาพิลาตุส (Mt Pilatus) หรือภูเขามังกร เป็นยอดเขาคู่บ้านคู่เมืองลูเซิร์น มีความสูงราว 2,120 เมตร เราจะได้เห็นทัศนียภาพอันงดงามของทะเลสาบลูเซิร์น ทะเลสาบสี่พันธรัฐ รวมทั้งความงดงามของแนวเทือกเขาแอลป์
![](https://happylongway.com/wp-content/uploads/2018/07/Mt-Pilatus.jpg)
2. น้ำพุเจทโด้ (Jet d'Eau)
น้ำพุเจทโด้่ “สัญลักษณ์ของเมืองเจนีวา” ที่มีความสูงถึง 390 ฟุต น้ำพุเจทโด้ จะส่งน้ำครั้งละ 500 ลิตรต่อวินาที ขึ้นไปพุ่งกระจายบนอากาศที่ความสูง 140 เมตร ด้วยความเร็ว 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในทะเลสาบเจนีวา โดยตั้งเป็นระบบ security valve ของโรงงาน Coulouvreniere hydraulic factory ตั้งแต่ปี 1891 ต่อมาก็ได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ท่องเที่ยวของ Geneva มาจนถึงปัจจุบัน
![Jet d’Eau](https://happylongway.com/wp-content/uploads/2018/07/Jet-dEau.jpg)
3. GRINDELWALD
Grindelwald ใน Switzerland เป็นหมู่บ้านและชุมชนเล็กๆ ที่เงียบสงบในกรุงเบิร์น เมืองหลวงของสวิตเซอร์แลนด์ โดยตั้งอยู่บนเทือกเขา Bernese Alps สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 1,034 เมตร เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมทั้งในฤดูหนาวและฤดูร้อนมาช้านาน โดยในฤดูหนาวคนมักจะนิยมมาเล่นสกี หรือถ้าเป็นฤดูร้อนก็จะเป็นกิจกรรมการปีนเขา ภายในชุมชนมีโรงแรม ร้านค้า และบ้านเรือนไม่ต่างจากเมืองอื่นๆ บรรยากาศธรรมชาติไม่วุ่นวาย ท่ามกลางขุนเขาอันยิ่งใหญ่
![](https://happylongway.com/wp-content/uploads/2018/07/GRINDELWALD.jpg)
4. น้ำตกไรน์ (Rhein Fall)
สถานที่สุดฮ็อตในสวิตเซอร์แลนด์ และเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่สุดของทวีปยุโรป ตั้งอยู่บนแม่น้ำไรน์บริเวณทางเหนือของนครซือริช บริเวณพรมแดนระหว่างรัฐชัฟเฮาเซินกับรัฐซือริชในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ น้ำตกแห่งนี้มีความกว้าง 150 เมตรและสูง 23 เมตร ในช่วงฤดูหนาว จะมีปริมาณน้ำเฉลี่ยราว 250 ลูกบาศ์กเมตรต่อวินาที และในฤดูร้อนจะมีน้ำเฉลี่ยมากถึง 600 ลูกบาศ์กเมตรต่อวินาที[3]ปลาทั่วไปไม่สามารถว่ายขึ้นน้ำตกแห่งนี้ได้ มีเพียงปลาไหลเท่านั้นที่มีเทคนิคเฉพาะตัวในการไต่ขึ้นน้ำตก น้ำตกแห่งนี้ถือกำเนิดขึ้นในยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้ายเมื่อราว 14,000 ถึง 17,000 ปีที่แล้ว ปัจจุบันถือเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีผู้เยี่ยมชมมากที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์
![Rhein Fall](https://happylongway.com/wp-content/uploads/2018/07/Rhein-Fall.jpg)
5. หอนาฬิกา (Zytglogge)
หอนาฬิกาแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1191 จุดประสงค์เพื่อเป็นประตูเมืองและได้มีการสร้างเพิ่มเติมในปี ค.ศ. 1530 ให้มีความสวยงามมากยิ่งขึ้น ไฮไลท์ที่ต้องรอชมทุก ๆ 5 นาที ก่อนจะครบรอบชั่วโมงจะมีตุ๊กกาออกมาเต้นระบำให้นักท่องเที่ยวได้หยุดมองหยุดชมกันอีกด้วย หอนาฬิกาแห่งนี้มีความโดดเด่นในสถาปัตยกรรมการสร้างด้วยความสวยงาม หอนาฬิกาหน้าปัดทำด้วยทองแดงขนาดใหญ่และยังมีนาฬิกาหน้าปัดขนาดเล็กอีกหนึ่งเรือนอยู่ด้านล่างภายในหน้าปัดนาฬิกาขนาดเล็กจะแสดงเวลา วัน เดือน ปี และ จักรราศี
![](https://happylongway.com/wp-content/uploads/2018/07/Clock-Tower-Zytglogge.jpg)
6. รถไฟสายโรแมนติก (Bernina Express)
รถไฟสาย Bernina Express เป็นรถไฟที่วิ่งจากเมือง Chur ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ไปสิ้นสุดยังเมือง Tirano ประเทศอิตาลี โดยวิ่งข้ามผ่านเทือกเขาแอลป์ โดยรถไฟสายนี้ได้รับการยกย่องจาก UNESCO ให้เป็นรถไฟเส้นทางสายมรดกโลกเมื่อปี 2008 รถไฟจะวิ่งจากเมือง Chur ไป Tirano โดยใช้เวลาประมาณ 4 ชม. ข้ามสะพาน 196 แห่ง 55 อุโมงค์ โดยผ่าน Bernina Pass ของเทือกเขาแอลป์ที่ความสูง 2,253 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล เรียกได้ว่าเป็นรถไฟสุดแสนโรแมนติกอีกแห่งหนึ่งของโลก
![Bernina Express](https://happylongway.com/wp-content/uploads/2018/07/Bernina-Express.jpg)
7. สะพานไม้ชาเปล (Chapel bridge)
สะพานไม้ชาเปล (Kapelbruck หรือ Chape Bridge) ตั้งอยู่ ณ เมืองลูเซิรน์ (Luzern) ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ (Switzerland) เป็นสะพานที่ถูกสร้างขึ้นด้วยไม้ ในศตวรรษที่ 14 โดยสะพานแห่งนี้ถือว่าเป็นสะพานไม้ที่มีความเก่าแก่ที่สุดของยุโรป เป็นสะพานที่ทอดตัวข้ามแม่น้ำรอยส์ โดยตลอดแนวสะพานนั้นถูกประดับด้วยภาพเขียนเก่าแก่อายุกว่า 400 ปี ที่บอกเล่าถึงประวัติของประเทศสวิสเซอร์แลนด์เป็นจำนวนมาก สะพานนี้เคยถูกไฟไหม้เสียหายอย่างมากใน ค.ศ. 1993 แต่ได้รับการซ่อมแซมใหม่จนอยู่ในสภาพที่ดีเหมือนเดิม ปัจจุบันได้กลายเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญต่อประวัติศาสตร์ของเมืองลูเซิร์นอีกด้วย
![chapel bridge](https://happylongway.com/wp-content/uploads/2018/07/chapel-bridge.jpg)
8. ยอดเขาจุงเฟรา (Jungfraujoch)
ยอดเขาที่สูงที่สุดของยุโรป มีความสูง 4,158 เมตร (13,642 ฟุต) เป็นสถานที่ที่ขึ้นชื่อในเรื่องความงาม ได้รับการยกย่องว่า เป็น Top of Europe ยอดเขาจุงเฟรา มีจุดชมวิวที่สูงที่สุดในยุโรปแห่งนี้ มองเห็นได้กว้างไกลที่สุด ณ จุด 3,571 เมตร มีถ้ำน้ำแข็งที่แกะสลักให้สวยงามอยู่ใต้ธารน้ำแข็ง 30 เมตร สัมผัสกับภาพของธารน้ำแข็งที่ยาวที่สุดในเทือกเขาแอลป์ ยาวถึง 22 กิโลเมตร และหนา 700 เมตรโดยไม่เคยละลาย บนยอดเขา และสถานที่แห่งนี้ยังเป็นที่นิยมของนักสกีมาเล่นกีฬาที่ท้าทายที่นี่![](https://happylongway.com/wp-content/uploads/2018/07/Jungfraujoch.jpg)
9. ปราสาทชาโต เดอ ชิลยอง (Chateau de Chillon)
ปราสาทชิลยอง (Château de Chillon) เป็นปราสาทเก่าแก่อายุกว่า 800 ปี สร้างบนเกาะหินริมทะเลสาบเจนีวา ของเมืองมองเทรอซ์ สร้างขึ้นมาเพื่อคอยเก็บค่าผ่านทางของเรือที่ล่องผ่านทะเลสาบเจนีวา อีกทั้งยังเป็นสถานที่ที่ทำให้ Lord Byron เกิดแรงบันดาลใจในการประพันธ์บทกวีโรแมนติกเรื่อง "The Prisoner of Chillon" อีกด้วย
![Chateau de Chillon](https://happylongway.com/wp-content/uploads/2018/07/Chateau-de-Chillon.jpg)
10. แมทเทอร์ฮอร์น(Matterhorn)
แมทเทอร์ฮอร์น (Matterhorn) หินทรงพีระมิดที่สูงเด่นเป็นสง่าท่ามกลางเทือกเขาแอลป์อันลือลั่น ด้วยความสูง 4,447 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล และรูปทรงสามเหลี่ยมพีรามิด ณ จุดบนสุดของยอดเขา ดยรอบภูเขานี้มีชื่อเสียงตรงส่วนที่เรียกว่า “ฮอร์น” ที่แปลว่า เขาสัตว์ หรือยอดพีระมิดที่โค้งลงเล็กน้อย ตั้งค่อมชายแดนสวิตเซอร์แลนด์และอิตาลี ในภาษาอังกฤษและเยอรมันเรียกว่า แมทเทอร์ฮอร์น ภาษาอิตาลีเรียกว่า มอนเตแชร์วีโน และภาษาฝรั่งเศสเรียกว่า มงแซร์แวง แมทเทอร์ฮอร์นเกิดจากการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลกเมื่อ 50 ล้านปีก่อน เมื่อครั้งที่ทวีปแอฟริกาและยุโรปเคลื่อนเข้ามาชนกัน รูปร่างยอดที่เห็นอยู่นี้เกิดจากธารน้ำแข็งในยุคน้ำแข็งได้บดขยี้เป็นวงรอบภูเขาระหว่างแมทเทอร์ฮอร์นและยอดเขามอนสเตโรซาในอิตาลี ซึ่งสูง 4,634 เมตร คือช่องเขาเอโอตุลสูง 3,317 เมตร
![](https://happylongway.com/wp-content/uploads/2018/07/Matterhorn.jpg)