BLAUSEE LAKE (BLUE LAKE) ทะเลสาบเบลาเซ (อ่านว่า เบลา-เซ แปลว่า ทะเลสาบสีน้ำเงิน / ทะเลสาบเปลี่ยวจิต) เป็นอีกหนึ่งทะเลสาบที่มีความสวยงามยิ่งนัก อยู่ท่ามกลางเทือกเขา ต้นไม้ และธรรมชาติอันสมบูรณ์ มีต้นกำเนิดจากแหล่งน้ำใต้ดินหรือน้ำบาดาล BLAUSEE LAKE เป็นทะเลสาบของเอกชน ที่อยู่ในเขต Bernese Oberland อยู่ระหว่างเมือง Frutigen และ Kandersteg ในสวิตเซอร์แลนด์ (ทัวร์สวิตเซอร์แลนด์) เป็นที่ๆใช้ไว้สำหรับเพาะพันธุ์ปลาเทราซ์ ด้วยความสวยงามของทะเลสาบโดยมีจุดเด่นของสีน้ำทะเลสาบมีสีน้ำเขียวมรกตและมีความใสจนมองเห็นพื้นดินด้านล่างและสามารถมองเห็นปลาเทราซ์แวกว่ายในทะเลสาบอีกด้วยจนได้ขึ้นชื่อว่า Blausee Blue Trout และยังทะเลสาบที่ถูกจัดเป็นมรดกของโลก โดย Unesco อีกด้วย

ตำนานและเรื่องเล่า
ตำนานว่ามีหนุ่มสาวคู่รักคู่หนึ่งมักจะมาเจอกันที่ทะเลสาบแห่งนี้เป็นประจำ อยู่มาวันหนึ่งฝ่ายชายได้ตายจากไป หญิงสาวจึงมาร้องไห้คร่ำครวญคำนึงหาถึงคนรักที่จากไปที่ทะเลสาบแห่งนี้ จนน้ำในทะเลสาบกลายเป็นสีฟ้าจากน้ำตาของนาง เป็นตำนานความรักที่มั่นคงลึกซึ้งและรันทดใจในเวลาเดียวกัน

BLAUSEE LAKE เป็นทะเลสาบขนาดเล็ก มีขนาด 6,400 ตารางเมตร และมีความลึกเฉลี่ยเพียง 10 เมตรเท่านั้น ทำให้เราสามารถมองเห็นพื้นของทะเลสาบได้เลย



ว่ากันว่ารถไฟ เป็นพาหนะที่ปลอดภัยที่สุดในโลก ซึ่งมนุษย์อย่างเราๆคงได้มีโอกาสนั่งมาแล้ว เพราะอย่างบ้านเราก็มีตั้งแต่สมัย รัชกาลที่ 5 อย่างในเมืองไทยเองรถไฟสายโรแมนติกก็มีหลายที่ หรือบนโลกใบนี้ก็มีมากมายหลายที่  แต่วันนี้ Happylongway ขอแนะนำข้อมูลสำหรับใครที่ชื่นชอบในการนั่งรถไฟกินลม ชมวิว สไตล์สวิตเซอร์แลนด์ และยุโรป นั่นคือ  Bernina Express รถไฟสายโรแมนติก ที่สวยและโรแมนติกที่สุดในยุโรป

Bernina Express  เส้นทางรถไฟที่ข้ามเทือกเขาแอลป์ ระหว่างเมือง คูร์ (Chur) มุ่งหน้าสู่ปลายทางเมืองติราโน่ (Tirano) ในประเทศอิตาลี มีระยะทางทั้งหมด 148 กิโลเมตร และใช้เวลาเดินทางทั้งสิ้น 4 ชั่วโมง 15 นาที Bernina Express (เบอร์นิน่า เอ็กซ์เพลส) ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเส้นทางรถไฟที่สวยที่สุด สูงที่สุดในยุโรป และเป็นเส้นทางรถไฟสายเก่าแก่ที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์ อายุกว่า 100 ปี ให้บริการมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1910 จนถึงปัจจุบัน และเป็น 1 ใน 3 เส้นทางรถไฟที่ได้รับการยกย่องจาก UNESCO ให้เป็นรถไฟเส้นทางสายมรดกโลก อีกทั้งเส้นทางรถไฟช่วงวนรอบสะพาน Brusio Spiral Viaduct แบบ 360 องศานั้นได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกอีกด้วย ระหว่างทางจะผ่านอุโมงค์กว่า 55 แห่ง สะพานถึง 196 สะพาน ตลอดเส้นทาง

Bernina Express ยังเป็นเส้นทางรถไฟที่สูงที่สุดในยุโรปอีกด้วย มีระดับความสูงเหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 2,253 เมตร  รถไฟจะวิ่งไต่ระดับความสูงขึ้นไป จุดสูงที่สูดคือ Ospizio Bernina สูงเหนือระดับน้ำทะเล 2,553 เมตร

เพราะอะไร Bernina Express ถึงได้ชื่อว่าเป็นรถไฟสายโรแมนติก และสวยงามที่สุดในยุโรป?
เพราะตลอดเส้นทางการเดินทางนั้น จะได้ชมวิวทั้งเทือกเขาแอลป์ ธรรมข้างทางอันสวยงาม ทางลอดอุโมงค์ต่างๆ และสะพานอีกมากมาย รวมทั้งน้ำตก ทะเลสาบอันสวยงามของสวิตเซอร์แลนด์ อีกด้วย เส้นทางนี้สร้างระหว่างยุโรปเหนือกับยุโรปใต้ ทำให้ระหว่างทางเราจะได้เห็นวัฒนธรรม บ้านเรือน และธรรมชาติที่สวยงามแตกต่างกันออกไป ด้วยเหตุนี้เส้นทางรถไฟ Bernina Express จึงได้รับการขนานนามว่าเป็นรถไฟสายโรแมนติก และสวยงามที่สุดในยุโรปนั่งเอง



สะพานไม้ชาเปล (เยอรมัน: Kapellbrücke) เป็นสะพานคนเดินข้ามแม่น้ำรอยส์ในนครลูเซิร์น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีอายุกว่า 600 ปี สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1365 เมื่อแรกสร้างมีความยาว 270 เมตร แต่เนื่องจากตลิ่งแม้น้ำที่งอกเพิ่มขึ้นตลอดหลายร้อยปี ทำให้ในปัจจุบันตัวสะพานเหลือความยาว 204.7 เมตร (ทัวร์สวิตเซอร์แลนด์)

สะพานนี้ถือเป็นสะพานไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรป และถือเป็นหนึ่งในสะพานแบบโครงที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังหลงเหลืออยู่ในโลก ตลอดลำสะพานมีจิตรกรรมจำนวนมากที่วาดขึ้นในศตวรรษที่ 17 อย่างไรก็ตาม จิตรกรรมกว่า 2 ใน 3 ได้ถูกทำลายจากเหตุเพลิงไหม้ในปี ค.ศ. 1993 แต่ได้รับการซ่อมแซมใหม่จนอยู่ในสภาพที่ดีเหมือนเดิม ปัจจุบันได้กลายเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญต่อประวัติศาสตร์ของเมืองลูเซิร์นอีกด้วย



อนุสาวรีย์สิงโตสะอื้น (Lion Statue) หรือ สิงโตแห่งลูเซิร์น (อังกฤษ: Lion of Lucerne) หรือที่เรียกว่า เลอเวินเด็งค์มาล (เยอรมัน: Löwendenkmal) เป็นประติมากรรมแกะสลักหินผา ตั้งอยู่ใจกลางนครลูเซิร์น ประเทศสวิสเซอร์แลนด์  อนุสาวรีย์นี้ถือเป็นอนุสาวรีย์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์ และอนุสาวรีย์แห่งนี้ยังได้รับการคุ้มครองเป็นให้เป็นมรดกแห่งชาติสวิตเซอร์แลนด์ (ทัวร์สวิตเซอร์แลนด์)

ทำไมถึงเรียกว่าสิงโตสะอื้น?
สิงโตหินนี้ สร้างเพื่อเป็นการขอบคุณแก่ทหารสวิส 786 นายที่เสียชีวิตจากการปกป้อง พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระนางมารี อองตัวแนตต์ จากการสู้รบกับช่วงการปฎิวัติฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1792 โดยในช่วงนั้นราชสำนักฝรั่งเศสได้ว่าจ้างหน่วยทหารสวิสราว 1,200 นายได้ทำหน้าองค์รักษ์ของราชสำนัก ต่อมาเมื่อมีการปฏิวัติฝรั่งเศสเกิดขึ้น กลุ่มผู้ปฏิวัติที่โกรธแค้นได้บุกและยึดพระราชวังตุยเลอรีในกรุงปารีส แม้สมาชิกของราชวงศ์ได้หลบหนีออกจากวังไปแล้วก่อนที่คณะปฏิวัติจะมาถึง แต่เหล่าทหารสวิสราว 1,000 นายก็ยังคงยืนหยัดทำหน้าที่ของตนในการปกป้องพระราชวัง ทหารสวิสได้อยู่ต่อสู้กับฝูงชนเพื่อปกป้องพระราชวังที่ไร้ผู้คน ในการต่อสู้ครั้งนี้มีทหารมีเสียชีวิตประมาณ 760 นาย นอกจากนี้ ยังมีทหารสวิสอีกส่วนหนึ่งที่เสียชีวิตระหว่างคุ้มกันพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ไปลี้ภัยยังอาคารสมัชชาแห่งชาติ

ลักษณะของสิงโต
สิงโตนั้น ถูกทำร้าย นอนรอความตาย ถูกคมหอกดาบบาดเจ็บสาหัส หมอบร้องไห้โดยมีโล่และหอกสวิสวางอยู่ข้างๆ สื่อให้เห็น ถึงความเศร้าสร้อย เจ็บปวดรวดร้าวเหลือจะทน ดูแล้ว อินกันไปข้าง ผลงานการแกะสลักนี้ เป็นของ Lukas Ahorn ส่วนผู้ออกแบบคืนศิลปินชาวสวีเดนนามว่า Bertel Thorvaldsen

มีการสลักคติพจน์ภาษาละตินไว้เหนือรูปสลักสิงโตว่า

Helvetiorum Fidei ac Virtuti ซึ่งมีความหมายว่า ศรัทธาแลเกียรติคุณของสวิส

ประวัติของการสร้างอนุสาวรีย์สิงโตสะอื้น (Lion Statue) หรือ สิงโตแห่งลูเซิร์น
การสร้างอนุสาวรีย์นี้เป็นความคิดริเริ่มของทหารนายหนึ่งคาร์ล  ไฟเฟอร์ ฟอน อัลติสโฮเฟน   ซึ่งขณะนั้นประจำการที่กรุงปารีสและได้เดินทางมาพักผ่อนในฤดูร้อนที่เมืองลูเซิร์นในปี ค.ศ.1792 ชื่อ เขาต้องการสร้างอนุสาวรีย์ขึ้นเพื่อเป็นการเชิดชูเกียรติและระลึกถึงเพื่อนทหาร  เขาจึงเริ่มเรี่ยไรเงินในปี ค.ศ. 1818 ชาวสวิสทั้งในและนอกประเทศต่างพากันบริจาคเงินสมทบทุนรวมทั้งสมเด็จพระจักรพรรดิของรัสเซีย   พระราชาแห่งปรัสเซีย  สมาชิกราชวงศ์แห่งฝรั่งเศสเช่นเดียวกับ เจ้าชายคริสเตียน  เฟเดอริคแห่งเดนมาร์ก (ต่อมาเป็นพระราชาคริสเตียนที่ 8)

ในส่วนของที่ตั้งอนุสาวรีย์ไฟเฟอร์ได้เสนอให้มีการสร้างอนุสาวรีย์ไว้ที่กำแพงหินนอกเมืองลูเซิร์น  อย่างไรก็ตามได้มีการออกแบบอนุสาวรีย์หลายครั้งแต่ไม่เป็นตามความต้องการ ไฟเฟอร์จึงได้ขอความช่วยเหลือจากเพื่อนของเขา วินเซนต์  รึททิมันซึ่งตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่วินเซนต์พำนักอยู่ที่กรุงโรมและเขาได้ขอให้ช่างสลักชื่อดังชาวเดนมาร์กอย่าง  เบอร์เทล ธอร์วาเซ่นมาออกแบบอนุสาวรีย์ ในปีค.ศ. 1818 เขาได้นำเสนอแบบร่าง   ต่อมาในฤดูใบไม้ผลิปี ค.ศ. 1819 เขาได้จัดแสดงแบบของอนุสาวรีย์ 2 แบบที่ห้องทำงานของเขา แบบแรกมีสิงโตอย่างเดียว และแบบที่สองมีสิงโตอยู่ในถ้ำ

ไฮน์ริช  เคลเลอร์ยืนกรานว่าจะต้องมีการสร้างอนุสาวรีย์ตามแผนเดิมของไฟเฟอร์ และธอร์วาลเซ่นก็เห็นด้วยกับแผนที่ว่านั่นคือควรจะสร้างสิงโตอย่างเดียวโดยไม่มีถ้ำ   อย่างไรก็ตามธอร์วาเซ่นไม่เห็นด้วยกับความคิดของไฟเฟอร์ที่จะให้มีการสร้างรูปสลักสิงโตที่ตายขึ้นเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ที่เศร้าสลดที่เกิดขึ้นที่ปารีส  แต่เขาคิดว่าควรจะสร้างรูปสลักสิงโตที่กำลังจะตายดีกว่า เพื่อแสดงให้เห็นว่า “สิงโตไม่ได้ตาย แต่สิงโตจากไปอย่างสงบ” ในที่สุดได้มีการสร้างอนุสาวรีย์ขึ้นตามแบบของธอร์วาลเซ่นและในตอนแรกภายใต้การควบคุมของช่างสลักที่ชื่อ อัว พานคราซ  เอกเกนชวิลเลอร์ (ซึ่งต่อมาไม่นาน ก็ประสบอุบัติเหตุ)และสุดท้าย ชาวคอนสตานที่ชื่อ  ลูคัส  อาฮอร์นเป็นผู้สร้างเสร็จที่บ่อทรายเก่าเมืองลูเซิร์น   วันที่ 10 สิงหาคม ค.ศ. 1821 ซึ่งครบรอบ 29ปี พอดีหลังจากเหตุการณ์ลุกฮือที่พระราชวังวังทุยเลอเรียน  ได้มีพิธีเปิดอนุสาวรีย์อย่างเป็นทางการ

ขอบคุณข้อมูลจาก https://th.wikipedia.org



โลซาน (อังกฤษ: Lausanne) ห่างจากเจนีวาไปทางตะวันตกเฉียงเหนือราว 60 กิโลเมตร มีประชากรประมาณ 140,000 คน โดยติดกับเมืองเอวีย็อง-เล-แบ็งของประเทศฝรั่งเศส ในอดีตเมืองโลซานเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรโรมัน เพราะพื้นที่ของเมืองอยู่ติดกับทะเลสาบเจนีวา ทำให้เชื่อมต่อกับอาณาจักรโรมันเมืองอื่นๆได้สะดวก ในอดีตเขตชุมชนตั้งอยู่ริมทะเลสาบ ด้วยชัยภูมิของเมืองดี จึงเป็นที่หมายปองของมหาอำนาจ ชาวบ้านจึงย้ายไปตั้งชุมชนบนเนินเขาเหนือทะเลสาบ ทำให้สถานที่ท่องเที่ยวในปัจจุบันแบ่งออกเป็น 2 ส่วนได้แก่ เขตเมืองเก่า (เนินเขาเหนือทะเลสาบ) และเขตริมทะเลสาบ

คนไทยรู้จักเมืองโลซานในฐานะที่ในหลวงรัชกาลที่ 8 รัชกาลที่ 9 สมเด็จพระพี่นางฯ ทรงศึกษาและทรงเจริญพระชนณ์ ณ เมืองนี้ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ และยังมีขนมยี่ห้อนึง ที่เรารู้อาจจะเคยเห็นกันมาบ้างที่มีจำหน่ายมานานนั่นคือ "ขนมโลซาน"

แหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจในโลซาน สวิตเซอร์แลนด์



มหาวิหารโลซาน (Cathédrale de Lausanne) หรือชื่อเต็มคือ อาสนวิหารน็อทร์-ดามแห่งโลซาน (ฝรั่งเศส: Cathédrale Notre-Dame de Lausanne) เป็นโบสถ์คริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ระดับอาสนวิหารประจำเมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ อาสนวิหารแห่งนี้เริ่มขึ้นในศตวรรษที่ 12 ในปี ค.ศ. 1170 และแล้วเสร็จในปี 1235 ต่อมาอาสนวิหารแห่งนี้ถูกประกาศอุทิศให้แก่พระแม่มารีย์โดยคำประกาศของสมเด็จพระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 10ในปี 1275 และยังมีอีกชื่อหนึ่งว่า มหาวิหารนอเตรอดาม (Notre-Dame)

มหาวิหารโลซานเป็นวิหารที่ใหญ่ที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์ในขณะนั้น สร้างด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์โกธิก บริเวณซุ้มทางเข้ามีการแกะสลักอย่างสวยงาม ส่วนด้านในมีกระจกสีที่สามารถขึ้นบันได 160 ขั้นขึ้นไปยังยอดของวิหารได้

เดิมหาวิหารโลซานนี้ชื่อวิหารนอเตรอดาม ตามการตั้งชื่อของนิกายคาทอลิก แต่เมื่อเปลี่ยนเป็นวิหารนิกายโปรเตสแตนท์ในยุคที่มีการปฏิรูปศาสนา ก็ไม่ค่อยมีใครเรียกวิหารแห่งนี้ว่าวิหารนอเตรอดามอีกต่อไป แต่เรียกมหาวิหารโลซานแทน



มหาวิทยาลัยโลซาน (ฝรั่งเศส: Université de Lausanne) หรือ UNIL ถ้าพูดถึงการมาทัวร์สวิตเซอร์แลนด์นั้น อีกสถานที่หนึ่งที่ไม่ควรพลาด เพราะถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่มีประวัติศาสตร์เกี่ยวข้องกับราชวงศ์ของไทยอย่างมาก มหาวิทยาลัยโลซานตั้งอยู่ที่เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1537 ในฐานะโรงเรียนเทววิทยา และเปลี่ยนเป็นมหาวิทยาลัยในปี ค.ศ. 1890 ปัจจุบันมีนักศึกษา 13,500 คน และนักวิจัย 2,200 คน เข้าศึกษาและทำงานในมหาวิทยาลัย และนักศึกษาต่างชาติประมาณ 1,500 คน จาก 120 เชื้อชาติ เข้าศึกษาในหลักสูตรต่าง ๆ รวมทั้งมีโครงการแลกเปลี่ยนกับมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงระดับโลกต่าง ๆ

โดยมีอาคารที่เป็นเอกลักษณ์และมีชื่อเสียงตั้งตระหง่านอยู่ นั่นคือ Palais de Rumine อาคารนีโอคลาสสิคขนาดใหญ่ สร้างติดกับจุตรัสริปอนน์ สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1892 เพื่อใช้เป็นมหาวิทยาลัยโลซาน ต่อมาเมื่อปี ค.ศ.1980 ได้ย้ายที่ตั้งไปชานเมือง อาหารแห่งนี้จึงเปลี่ยนเป็นห้องสมุดมหาวิทยาลัยและแบ่งพื้นที่เป็นพิพิธภัณฑ์ห้าแห่งของรัฐ ได้แก่พิพิธภัณฑ์ศิลปะ (Cantonal Meseum of Fine Arts), พิพิธภัณฑ์โบราณคดี และประวัติศาสตร์ (Cantonal Museum of Archeology and History), พิพิธภัณฑ์เงินตรา (Cantonal Museum of Money), พิพิธภัณฑ์ธรณีวิทยา (Cantonal Museum of Geology) และ พิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับชีวิตสัตว์ (Cantonal Museum of Zoology)

เมื่อครั้งที่ยังเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยโลซาน สมเด็จพระพี่นางฯ รัชกาลที่ 8 และรัชกาลที่ 9 ทรงสำเร็จการศึกษาจากที่นี่ โดยสมเด็จพระพี่นางฯ ทรงศึกษาด้านเคมี รัชกาลที่ 8 ทรงศึกษาด้านนิติศาสตร์ และรัชกาลที่ 9 ทรงศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ แต่เมื่อรัชกาลที่ 9 ได้ทรงครองราชย์ ก็ได้ทรงเปลี่ยนมาศึกษาด้านกฏหมาย รัฐศาสตร์ และเศรษฐศาสตร์ เพื่อใช้ในการบริหารราชการแผ่นดิน ส่วนสมเด็จย่าก็ทรงศึกษาในวิชาภาษาละติน ปรัชญา วรรณคดี และสันสกฤตเพิ่มเติมด้วย

มหาวิทยาลัยโลซานน์ประกอบด้วย 7 คณะ คือ

- คณะชีววิทยาและการแพทย์
- คณะเทววิทยาและศาสนศึกษา
- คณะธรณีศาสตร์และสิ่งแวดล้อม
- คณะนิติศาสตร์ การบริหารงานยุติธรรม และการบริหารรัฐกิจ
- คณะบริหารธุรกิจและเศรษฐศาสตร์
- คณะสังคมศาสตร์และรัฐศาสตร์
- คณะอักษรศาสตร์

ศิษย์เก่าที่มีชื่อเสียง

- พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
- พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล
- สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
- เจ้าชายแบร์นฮาร์ดแห่งลิพเพอ-บีสเตอร์เฟลด์
- Pascal Couchepin Swiss Federal Councellor
- Bertrand Piccard จิตแพทย์และนักบอลลูน
- Edmond Pidoux กวีและนักเขียนชาวสวิส
- Charles Ferdinand Ramuz นักเขียน

 

ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก : หนังสือสวิตเซอร์แลนด์เล่มเดียวเที่ยวได้จริง โดย สิรภพ มหรรฆสุวรรณ



สวนสาธารณะเดอน็องตู (Denantou) เป็นอีกสถานที่หนึ่งในการทัวร์สวิตเซอร์แลนด์และเมืองโลซานน์ เพราะที่นี่มีเรื่องราวอันน่าประทับใจ และมีประวัติมากมายของราชวงศ์ไทย ทั้งในหลวงรัชกาลที่ 8 และรัชกาลที่ 9 โดยสวนสาธารณะเดอน็องตู (Denantou) เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ โดยบริเวณหัวมุมของสวน จะมีบันไดเล็ก ขึ้นไปอีกนิดหน่อย จะมีรูปปั้นลิง 3 ตัว ตัวหนึ่งปิดตา ปิดหู และปิดปาก เป็นรูปปั้นที่ในหลวงรัชกาลที่ 8 และ 9 ทรงโปรดปรานมาก ขณะทรงพระเยาว์เมื่อผ่านมาเมื่อใด ก็มักจะแวะเข้ามาชมอยู่เสมอ มีกล่าวถึงในหนังสือ “เจ้านายเล็กๆ ยุวกษัตริย์” ที่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ทรงนิพนธ์ว่า “ไม่ยอมฟัง ดู พูด ในสิ่งที่เลว”

ภายใน สวนสาธารณะเดอน็องตู (Denantou) ยังมีศาลาไทยเฉลิมพระเกียรติ  ที่ชาวไทยภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก (มีทัวร์ของเรามาชมที่นี่ด้วย) และสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติในวโรกาสที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี เมื่อปี พ.ศ.2549 และครบรอบ 75 ปี ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับสวิตเซอร์แลน เป็นศาลาสีทองอร่ามตั้งอยู่กลางสวน ออกแบบโดยนาวาอากาศเอกอาวุธ เงินชูกลิ่น อดีตอธิบดีกรมศิลปากร และศิลปินแห่งชาติ

ลักษณะของศาลาไทย เป็นศาลาไม้แบบจตุรมุข มียอดมณฑป กว้าง 6 เมตร ยาว 6 เมตร สูง 16 เมตร ก่อสร้างด้วยไม้เนื้อแข็ง และไม้สัก ส่วนประกอบจากหินที่ใช้ในการก่อสร้างทุกชิ้น ขนส่งจากประเทศไทยไป ศาลาไทยสร้างแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ.2550 และสมเด็จพระเทพฯ ได้เสด็จฯ ไปประกอบพิธีเปิดศาลาไทยอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ.2532

เรียกได้ว่าเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่เวลามาทัวร์สวิตเซอร์แลนด์นั้น ไม่ควรพลาด Hapylongway ของเราก็ได้่บรรจุสวนสาธารณะเดอน็องตูนี้ไว้ในโปรแกรมทัวร์สวิตเซอร์แลนด์ของเราด้วย เพราะว่าทั้งได้เจอบรรยากาศสบายๆ สไตล์สวิตเซอร์แลนด์ และยังได้ชมความงดงามของศาลาไทย และได้ตามรอย ในหลวงรัชกาลที่ 9 อีกด้วย



พิพิธภัณฑ์โอลิมปิก เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ควรห้ามพลาดในการมาทัวร์สวิตเซอร์แลนด์ และเมืองโลซานน์ มีประวัตศาสตร์และความประทับใจมากมายให้ได้เก็บภาพเป็นที่ระลึก พิพิธภัณฑ์โอลิมปิกนั้นเปิดให้เข้าชมตั้งแต่ปี ค.ศ.1993 ภายในจัดแสดงประวัติความเป็นมาของกีฬาโอลิมปิก ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน รวมถึงภาพการแข่งขัน วิวัฒนาการของอุปกรณ์แข่งขันกีฬาแต่ละยุค แต่ละประเภทที่มีการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง พลาดไม่ได้เลยคือภาพความประทับใจที่น่าภูมิใจที่สุดสำหรับชาวไทยและหนึ่งเดียวในพิพิธภัณฑ์ นั่นคือ ชุดกีฬาเหรียญทองโอลิมปิกยกน้ำหนักหญิง ปวีณา ทองสุก ที่คว้าเหรียญทองและรางวัลนักกีฬาหญิงยอดเยี่ยมจากการแข่งขันโอลิมปิก 2004 กรุงเอเธนท์ ประเทศกรีก 

พิพิธภัณฑ์โอลิมปิก อยู่ริมทะเลสาบเจนีวา มีภาพแสดงกว่า 510,000 ภาพ มีฟิล์มหนังถ่ายทอดการแข่งขันและเหตุการณ์สำคัญกว่า 23,000 ชั่วโมง และมีห้องสมุดให้ค้นคว้าอีก 22,000 เล่ม ตั้งอยู่ย่านอูชี เป็นท่าเรือริมทะเลสาบเจนีวาของเมืองโลซานน์ มีปราสาทที่สร้างขึ้นในสมัยคริสตวรรษที่ 12 ปัจจุบันเป็นโรงแรมหรูของเมือง 

โลซานเมืองโอลิมปิก เป็นเมืองหลวงของกีฬาโอลิมปิก ที่ไม่เคยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก แม้แต่ครั้งเดียว ถือว่าเป็นเมืองหลวงโอลิมปิก เพราะสำนักงานใหญ่ของโอลิมปิกสากลอยู่ที่นี่



เจนีวา (อังกฤษ: Geneva) นั้นเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ (รองจากซูริค) โดยถือว่าเป็นเมืองที่มีแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกมากมายเช่น ทะเลสาบเจนีวา น้ำพุเจ็ทโด้ เป็นต้น เป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในภาครอม็องดีอัน เป็นภูมิภาคที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นหลักในสวิตเซอร์แลนด์ นครเจนีวาตั้งอยู่บริเวณต้นแม่น้ำโรนซึ่งไหลออกจากทะเลสาบเจนีวา ณ ปัจจุบัน เจนีวามีสถานะเป็นเมืองหลวงของสาธารณรัฐแห่งรัฐเจนีวา

ในอดีตเมืองเจนีวาเคยอยู่ภายใต้การปกครองของโรมัน และฝรั่งเศส แต่เมื่อได้รับอิสรภาพจึงรีบหาพันธมิตรเพราะไม่อยากโดนรุกรานอีก โดยการเข้าร่วมเป็นสมาชิกพันธรัฐสวิส จากนั้นเจนีวาก็รู้จักอย่างกว้างขวางในนาม "เมืองแห่งองค์กรนานาชาติ"

แหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจในเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์



พิพิธภัณฑ์ Patek Philippe สร้างขึ้นในอาคารอาร์ตเดโค ในพื้นที่ของ Plainpalais  เมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์  เมื่อปี 2001 เพราะความรักและความคลั่งไคล้นาฬิกาของ Philippe Stern พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นที่รวบรวมประวัติการทำนาฬิกาที่มีมานานกว่า 500 ปี

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้จัดแสดงนาฬิกาตั้งแต่รุ่นแรกๆ จนถึงรุ่นปัจจุบัน บนพื้นที่การจัดแสดงกว่า 4 ชั้น โดยแต่ละเรือนนั้นไม่ธรรมดา หาดูได้ยาก และบางเรือนแทบไม่สามารถตีออกมาเป็นราคาได้เลย โดยมีไฮไลท์ที่นี่คือ นาฬิกาที่ซับซ้อนมากที่สุดที่เคยทำซึ่งก็คือ "Caliber 89"

ใครที่ชอบนาฬิกายี่ห้อนี้ หรือต้องการสัมผัสความอลังการณ์ของ Patek Philippe ก็ไม่ควรพลาดเลยเมื่อมาเยือนเมืองเจนีวาแห่งนี้ โดยพิพิธภัณฑ์ Patek Philippe มีค่าเข้าชมประมาณ 10 ฟรังก์สวิส หรือประมาณ 350 บาท



เขตเมืองเก่าเจนีวา ส่วนใหญ่จะเป็นร้านอาหาร ร้านกาแฟ และโรงแรมต่างๆมากมาย บริเวณนี้มีชื่อเสียงเพราะว่าเป็นที่ตั้งของ จตุรัสปลาซดูบูร์ก เดอฟูร์ (Place du Bourg de Four) ตลาดเก่าแก่ที่มีมาตั้งแต่สมัยโรมัน และยังเคยใช้เป็นศูนย์กลางการชุมนุมนักคิด นักเขียน ในช่วงยุคปฏิรูป (Reformation)

เรียกได้ว่าบริเวณเขตเมืองเก่าเจนีวานี้ก็ได้เปลี่ยนจากเดิมไปมาก แต่ยังคงความคลาสสิค และมีกลิ่นอายครั้งเก่าๆ ใครอยากหาที่นั่งชิลๆ นั่งจิบกาแฟ ดื่มเบียร์ ฟังเสียงน้ำพุกระทบลงน้ำ ฟังเพลงตามข้างถนนมี ช้อปปิ้งเล็กน้อย หาของกินอร่อยๆ หรือโรงแรมที่พัก ก็ถือว่าเป็นอีกย่านนึงซึ่งไม่ควรพลาดในการมาเที่ยวเมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์



สวนชาร์แดงอองเกล เป็นสวนที่ตั้งอยู่ที่เมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์อยู่ไม่ไกลจากบริเวณทะเลสาบเจนีวา สวนชาร์แดงอองเกลเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ สไตล์อังกฤษ มีการตกแต่งด้วยดอกไม้และต้นไม้อย่างสวยงาม และในบางวันก็มีการจัดเทศกาลดนตรีเล็กๆ รวมถึงงานกิจกรรมต่างๆมากมาย ภายในสวนมีอนุสาวรีย์ Monument National เป็นรูปปั้นเทพี 2 องค์ เพื่อเป็นอนุสรณ์รำลึกเนื่องในโอกาสที่รัฐเจนีวาเข้าร่วมเป็นสมาชิกของสมาพันธรัฐสวิสเมื่อปี ค.ศ.1814

สวนชาร์แดงอองเกลสร้างขึ้นในปี 1854 เพื่อเติมความสดใสให้กับภูมิทัศน์บริเวณท่าเรือ ตัวสวนครอบคลุมพื้นที่ริมน้ำ ราว 24,000 ตร.ม. มีทางเดินลัดเลาะชมดอกไม้ ต้นไม้ พร้อมทั้งทิวทัศน์น่าประทับใจของทะเลสาบเจนีวาและสะพานมองบลังค์

จุดไฮไลท์ของที่นี่คือ Horloge Fleurie ซึ่งเป็นอนุสรณ์ยอดนิยมที่มีผู้คนมาถ่ายรูปมากที่สุดแห่งหนึ่งในเมือง นาฬิกาขนาดยักษ์ที่ใช้งานได้นี้มีหน้าปัดทำจากดอกไม้ 6,000 ชนิดและมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 5 เมตร ออกแบบโดยใช้ดอกไม้ตามฤดูกาลและเปลี่ยนรูปแบบทุกปี



แมทเทอร์ฮอร์น หรือ The Matterhorn คือยอดเขาที่โดดเด่นที่สุดของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และยังเป็นภูเขาที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งในเทือกเขาแอลป์ โดยมีชายแดนติดกับประเทศอิตาลียอด เรียกได้ว่าใครก็ตามที่มาทัวร์สวิตเซอร์แลนด์ ต้องห้ามพลาดการชมเทือกเขาแห่งนี้ โดยจุดชมวิวที่สวยงามอยู่ใกล้กับเมืองเซอร์แมทในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ยอดเขาแมทเทอร์ฮอร์นนี้มีความสูงถึง 4,478 เมตร และรูปร่างสูงแหลมคล้ายพีระมิด และมีลักษณะต่างกันออกไปเมื่อมองต่างด้าน ภูเขานี้มีชื่อเสียงตรงส่วนที่เรียกว่า “ฮอร์น” ที่แปลว่า เขาสัตว์ หรือยอดพีระมิดที่โค้งลงเล็กน้อย ตั้งค่อมชายแดนสวิตเซอร์แลนด์และอิตาลี ในภาษาอังกฤษและเยอรมันเรียกว่า แมทเทอร์ฮอร์น ภาษาอิตาลีเรียกว่า มอนเตแชร์วีโน และภาษาฝรั่งเศสเรียกว่า มงแซร์แวง

แมทเทอร์ฮอร์นเกิดจากการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลกเมื่อ 50 ล้านปีก่อน เมื่อครั้งที่ทวีปแอฟริกาและยุโรปเคลื่อนเข้ามาชนกัน รูปร่างยอดที่เห็นอยู่นี้เกิดจากธารน้ำแข็งในยุคน้ำแข็งได้บดขยี้เป็นวงรอบภูเขาระหว่างแมทเทอร์ฮอร์นและยอดเขามอนสเตโรซาในอิตาลี ซึ่งสูง 4,634 เมตร คือช่องเขาเอโอตุลสูง 3,317 เมตร

ด้วยความยิ่งใหญ่และเป็นเอกลักษณ์ของเทือกเขาแมทเทอร์ฮอร์น ทำให้มีบริษัททั่วโลกต่างแย่งชิงเพื่อที่จะนำมาเป็นสัญญาลักษณ์ของตนเอง โดยเราน่าจะจำได้ดีโดยเฉพาะ ผู้ผลิตหนังรายใหญ่พาราเมาท์พิคเจอร์ ที่เราจะเห็นก่อนจะได้ชมภาพยนตร์ดังหลายๆเรื่อง อีกทั้งช็อกโกแล็ตทับเบอโรนที่ผู้คนทั่วโลกต่างรู้จักกันเป็นอย่างดี

ในปี 1865 การประชุมสุดยอด สิ้นสุดลงอย่างน่าเศร้าเมื่อนักปีนเขา 4 คนเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิต แต่ ณ วันนี้มีนักปีนเขานับล้านคน ที่ต้องการความท้าทาย และหาประสบการณ์ที่แปลกใหม่ มาเยือนที่นี่ ที่ยอดเขาอันยิ่งใหญ่แห่งนี้ตั้งอยู่ในหมู่บ้าน Zermatt สวิตเซอร์แลนด์ เป็นสถานที่ที่มีเสน่ห์และเป็นรีสอร์ทระดับนานาชาติระดับนานาชาติอีกด้วย

เมืองแมทเทอร์ฮอร์นนั้นไม่อนุญาตให้รถยนต์วิ่งอีกแล้วมีเพียงจักรยาน หรือรถรางต่างๆ และได้รับการยกย่องว่า เป็นเมืองปลอดมลพิษของโลก ตั้งอยู่บนความสูงกว่า 1,620 เมตร หากต้องการมาที่นี่ต้องเดินทางโดยรถไฟ และรถไฟจะมาจากหลายทาง หรือที่ดีกว่านั้นจะมีรถไฟชมวิวสายกลาเซียร์เอ็กซเพรส จะได้เพลิดเพลินกับทิวทัศน์ที่สวยงามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ประทับใจความสวยงามที่โลกสร้างขึ้นอย่างติดตาตรึงใจ ทั้งหิมะขาวโพลน หรือทุ่งหญ้าอันเขียวขจี

การขึ้นไปชมแมทเทอร์ฮอร์นนั้น สามารถขึ้นไคลน์แมทเทอร์ฮอร์น โดยการขึ้นกระเช้า (Cable Car) ที่เรียกว่า Matterhorn glacier Paradise ซึ่งเป็น Cable Car ที่นำท่านขึ้นไปสูงที่สุดในยุโรปด้วยความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 3,883 เมตร



ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ (Switzerland) เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่สวยงามและเงียบสงบไม่แพ้ที่ไหน ๆ ในโลก ธรรมชาติสวยงามดังภาพวาด จึงเป็นประเทศที่ใครหลาย ๆ คนฝันอยากจะไปท่องเที่ยว เพื่อสัมผัสกับความงามของที่นี่ด้วยตาของตัวเองสักครั้ง

HappyLongWay จึงขอนำเสนอ 10 สถานที่ในสวิตเซอร์แลนด์ ที่ห้ามพลาด มาดูกันเลย

1. เทือกพิลาทุส (Mt. Pilatus)

ยอดเขาพิลาตุส (Mt Pilatus) หรือภูเขามังกร เป็นยอดเขาคู่บ้านคู่เมืองลูเซิร์น มีความสูงราว 2,120 เมตร เราจะได้เห็นทัศนียภาพอันงดงามของทะเลสาบลูเซิร์น ทะเลสาบสี่พันธรัฐ รวมทั้งความงดงามของแนวเทือกเขาแอลป์

2. น้ำพุเจทโด้ (Jet d'Eau)

น้ำพุเจทโด้่ “สัญลักษณ์ของเมืองเจนีวา” ที่มีความสูงถึง 390 ฟุต น้ำพุเจทโด้  จะส่งน้ำครั้งละ 500 ลิตรต่อวินาที ขึ้นไปพุ่งกระจายบนอากาศที่ความสูง 140 เมตร ด้วยความเร็ว 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในทะเลสาบเจนีวา โดยตั้งเป็นระบบ security valve ของโรงงาน Coulouvreniere hydraulic factory ตั้งแต่ปี 1891 ต่อมาก็ได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ท่องเที่ยวของ Geneva มาจนถึงปัจจุบัน

3. GRINDELWALD

Grindelwald ใน Switzerland เป็นหมู่บ้านและชุมชนเล็กๆ ที่เงียบสงบในกรุงเบิร์น เมืองหลวงของสวิตเซอร์แลนด์ โดยตั้งอยู่บนเทือกเขา Bernese Alps สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 1,034 เมตร เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมทั้งในฤดูหนาวและฤดูร้อนมาช้านาน โดยในฤดูหนาวคนมักจะนิยมมาเล่นสกี หรือถ้าเป็นฤดูร้อนก็จะเป็นกิจกรรมการปีนเขา ภายในชุมชนมีโรงแรม ร้านค้า และบ้านเรือนไม่ต่างจากเมืองอื่นๆ บรรยากาศธรรมชาติไม่วุ่นวาย ท่ามกลางขุนเขาอันยิ่งใหญ่

4. น้ำตกไรน์ (Rhein Fall)

สถานที่สุดฮ็อตในสวิตเซอร์แลนด์ และเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่สุดของทวีปยุโรป ตั้งอยู่บนแม่น้ำไรน์บริเวณทางเหนือของนครซือริช บริเวณพรมแดนระหว่างรัฐชัฟเฮาเซินกับรัฐซือริชในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ น้ำตกแห่งนี้มีความกว้าง 150 เมตรและสูง 23 เมตร ในช่วงฤดูหนาว จะมีปริมาณน้ำเฉลี่ยราว 250 ลูกบาศ์กเมตรต่อวินาที และในฤดูร้อนจะมีน้ำเฉลี่ยมากถึง 600 ลูกบาศ์กเมตรต่อวินาที[3]ปลาทั่วไปไม่สามารถว่ายขึ้นน้ำตกแห่งนี้ได้ มีเพียงปลาไหลเท่านั้นที่มีเทคนิคเฉพาะตัวในการไต่ขึ้นน้ำตก น้ำตกแห่งนี้ถือกำเนิดขึ้นในยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้ายเมื่อราว 14,000 ถึง 17,000 ปีที่แล้ว ปัจจุบันถือเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีผู้เยี่ยมชมมากที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์

5. หอนาฬิกา (Zytglogge)

หอนาฬิกาแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1191 จุดประสงค์เพื่อเป็นประตูเมืองและได้มีการสร้างเพิ่มเติมในปี ค.ศ. 1530 ให้มีความสวยงามมากยิ่งขึ้น ไฮไลท์ที่ต้องรอชมทุก ๆ 5 นาที ก่อนจะครบรอบชั่วโมงจะมีตุ๊กกาออกมาเต้นระบำให้นักท่องเที่ยวได้หยุดมองหยุดชมกันอีกด้วย หอนาฬิกาแห่งนี้มีความโดดเด่นในสถาปัตยกรรมการสร้างด้วยความสวยงาม หอนาฬิกาหน้าปัดทำด้วยทองแดงขนาดใหญ่และยังมีนาฬิกาหน้าปัดขนาดเล็กอีกหนึ่งเรือนอยู่ด้านล่างภายในหน้าปัดนาฬิกาขนาดเล็กจะแสดงเวลา วัน เดือน ปี และ จักรราศี

6. รถไฟสายโรแมนติก (Bernina Express)

รถไฟสาย Bernina Express เป็นรถไฟที่วิ่งจากเมือง Chur ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ไปสิ้นสุดยังเมือง Tirano ประเทศอิตาลี โดยวิ่งข้ามผ่านเทือกเขาแอลป์ โดยรถไฟสายนี้ได้รับการยกย่องจาก UNESCO ให้เป็นรถไฟเส้นทางสายมรดกโลกเมื่อปี 2008 รถไฟจะวิ่งจากเมือง Chur ไป Tirano โดยใช้เวลาประมาณ 4 ชม. ข้ามสะพาน 196 แห่ง 55 อุโมงค์ โดยผ่าน Bernina Pass ของเทือกเขาแอลป์ที่ความสูง 2,253 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล เรียกได้ว่าเป็นรถไฟสุดแสนโรแมนติกอีกแห่งหนึ่งของโลก

7. สะพานไม้ชาเปล (Chapel bridge)

สะพานไม้ชาเปล (Kapelbruck หรือ Chape Bridge)  ตั้งอยู่ ณ เมืองลูเซิรน์ (Luzern) ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ (Switzerland) เป็นสะพานที่ถูกสร้างขึ้นด้วยไม้ ในศตวรรษที่ 14  โดยสะพานแห่งนี้ถือว่าเป็นสะพานไม้ที่มีความเก่าแก่ที่สุดของยุโรป เป็นสะพานที่ทอดตัวข้ามแม่น้ำรอยส์   โดยตลอดแนวสะพานนั้นถูกประดับด้วยภาพเขียนเก่าแก่อายุกว่า 400  ปี ที่บอกเล่าถึงประวัติของประเทศสวิสเซอร์แลนด์เป็นจำนวนมาก สะพานนี้เคยถูกไฟไหม้เสียหายอย่างมากใน ค.ศ. 1993 แต่ได้รับการซ่อมแซมใหม่จนอยู่ในสภาพที่ดีเหมือนเดิม ปัจจุบันได้กลายเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญต่อประวัติศาสตร์ของเมืองลูเซิร์นอีกด้วย

8.  ยอดเขาจุงเฟรา (Jungfraujoch)

ยอดเขาที่สูงที่สุดของยุโรป มีความสูง 4,158 เมตร (13,642 ฟุต) เป็นสถานที่ที่ขึ้นชื่อในเรื่องความงาม ได้รับการยกย่องว่า เป็น Top of Europe  ยอดเขาจุงเฟรา มีจุดชมวิวที่สูงที่สุดในยุโรปแห่งนี้ มองเห็นได้กว้างไกลที่สุด ณ จุด 3,571 เมตร มีถ้ำน้ำแข็งที่แกะสลักให้สวยงามอยู่ใต้ธารน้ำแข็ง 30 เมตร สัมผัสกับภาพของธารน้ำแข็งที่ยาวที่สุดในเทือกเขาแอลป์ ยาวถึง 22 กิโลเมตร และหนา 700 เมตรโดยไม่เคยละลาย  บนยอดเขา และสถานที่แห่งนี้ยังเป็นที่นิยมของนักสกีมาเล่นกีฬาที่ท้าทายที่นี่

9.  ปราสาทชาโต เดอ ชิลยอง (Chateau de Chillon)

ปราสาทชิลยอง (Château de Chillon) เป็นปราสาทเก่าแก่อายุกว่า 800 ปี สร้างบนเกาะหินริมทะเลสาบเจนีวา ของเมืองมองเทรอซ์ สร้างขึ้นมาเพื่อคอยเก็บค่าผ่านทางของเรือที่ล่องผ่านทะเลสาบเจนีวา อีกทั้งยังเป็นสถานที่ที่ทำให้ Lord Byron เกิดแรงบันดาลใจในการประพันธ์บทกวีโรแมนติกเรื่อง "The Prisoner of Chillon" อีกด้วย

10. แมทเทอร์ฮอร์น(Matterhorn)

แมทเทอร์ฮอร์น (Matterhorn) หินทรงพีระมิดที่สูงเด่นเป็นสง่าท่ามกลางเทือกเขาแอลป์อันลือลั่น ด้วยความสูง 4,447 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล และรูปทรงสามเหลี่ยมพีรามิด ณ จุดบนสุดของยอดเขา ดยรอบภูเขานี้มีชื่อเสียงตรงส่วนที่เรียกว่า “ฮอร์น” ที่แปลว่า เขาสัตว์ หรือยอดพีระมิดที่โค้งลงเล็กน้อย ตั้งค่อมชายแดนสวิตเซอร์แลนด์และอิตาลี ในภาษาอังกฤษและเยอรมันเรียกว่า แมทเทอร์ฮอร์น ภาษาอิตาลีเรียกว่า มอนเตแชร์วีโน และภาษาฝรั่งเศสเรียกว่า มงแซร์แวง แมทเทอร์ฮอร์นเกิดจากการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลกเมื่อ 50 ล้านปีก่อน เมื่อครั้งที่ทวีปแอฟริกาและยุโรปเคลื่อนเข้ามาชนกัน รูปร่างยอดที่เห็นอยู่นี้เกิดจากธารน้ำแข็งในยุคน้ำแข็งได้บดขยี้เป็นวงรอบภูเขาระหว่างแมทเทอร์ฮอร์นและยอดเขามอนสเตโรซาในอิตาลี ซึ่งสูง 4,634 เมตร คือช่องเขาเอโอตุลสูง 3,317 เมตร



องค์การสหประชาชาติ (United Nations) ตัวย่อ UN หรือที่เรารู้จักกันดีในนาม "ยูเอ็น" เป็นสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาทัวร์สวิตเซอร์แลนด์ เพราะถือว่ามีโอกาสได้มาเยือนประวัติศาสตร์ของโลก และน่าเป็นที่ที่เก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกอีกด้วย องค์การสหประชาชาติ  เป็นองค์การระหว่างประเทศซึ่งมีความมุ่งหมายที่แถลงไว้เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ความร่วมมือในกฎหมายระหว่างประเทศ ความมั่นคงระหว่างประเทศ การพัฒนาเศรษฐกิจ กระบวนการทางสังคม สิทธิมนุษยชน และการบรรลุสันติภาพโลก สหประชาชาติก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1945 หลังสงครามโลกครั้งที่สอง เพื่อแทนที่สันนิบาตชาติ เพื่อยุติสงครามระหว่างประเทศ เพื่อเป็นเวทีสำหรับการเจรจา สหประชาชาติมีองค์กรจำนวนมากเพื่อนำภารกิจไปปฏิบัติ

องค์การสหประชาชาตินั้นมีสมาชิกทั้งหมดถึง 193 ประเทศ ระบบสหประชาชาติอยู่บนพื้นฐานของ 6 เสาหลัก ได้แก่ สมัชชาใหญ่ คณะมนตรีความมั่นคง คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคม สำนักเลขาธิการ และ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ รวมถึงคณะมนตรีภาวะทรัสตี (ปัจจุบันยุติการทำงานแล้ว) นอกจากนี้ยังมีองค์กรอื่น ๆ อีกเช่น องค์การอนามัยโลก ยูเนสโก และยูนิเซฟ ตำแหน่งที่โดดเด่นที่สุดของสหประชาชาติ คือ เลขาธิการสหประชาชาติ ผู้ดำรงตำแหน่งคนปัจจุบัน คือ อังตอนีอู กูแตรึช ชาวโปรตุเกส ซึ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2017 ต่อจาก พัน กี-มุน ชาวเกาหลีใต้

องค์การสหประชาชาติ (United Nations)  มีบทบาทสำคัญอย่างมากในเจนีวาสวิตเซอร์แลนด์ เพราะหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ก็ได้มีการตั้งองค์การสันนิบาตแห่งชาติ (League of Nations) เมื่อปี ค.ศ.1920 หลังจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นองค์การสหประชาชาติ (United Nations) และก็ย้ายสำนักงานใหญ่ไปที่ประเทศสหรัฐอเมริกา แต่ยังคงใช้สำนักงานเป็นสำนักงานใหญ่ประจำยุโรป และใช้เป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของหน่วยย่อยต่างๆขององค์การสหประชาชาติ อาทิเช่น องค์การอนามัยโลก (WTO) องค์การการค้าโลก (WTO) และอีกต่างๆมากมาย ทำให้เวลามีการจัดงานประชุม หรือจัดเลี้ยงต่างๆ ก็มีผลทำให้เศรษฐกิจของเมืองเจนีวานั้นคึกคักขึ้นอีกด้วย

เราสามารถเข้าเยี่ยมชมองค์การสหประชาชาติ (United Nations) ได้ด้วย โดยเสียค่าเข้าประมาณ 12 ฟรังก์สวิส (ประมาณ 400 บาท) โดยเปิดให้ชมทั้งปี เป็นรอบๆไป ก็จะมีการพาชมห้องต่างๆพร้อมกับอธิบายประวัติอีกด้วย



น้ำพุ Jet d'Eau หรือ แฌโด หรือบางคนเรียกว่าน้ำพุเจ็ทโด้ (ฝรั่งเศส: Jet d'Eau, ความหมาย: พวยน้ำ) เป็นแลนด์มาร์คที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของสวิตเซอร์แลนด์ และเมืองเจนีวา ตั้งอยู่ในกลางทะเลสาบเจนีวาบริเวณปากแม่น้ำโรน น้ำพุแห่งนี้ใช้ปั๊มขนาด 500 กิโลวัตต์สองตัวที่กำลังไฟฟ้า 2,400 โวลต์ ทำการปั๊มน้ำขึ้นสู่อากาศที่ความสูง 140 เมตร เป็นนับเป็นปริมาตรกว่า 500 ลิตรต่อวินาที นั่นหมายความว่าตลอดเวลาที่น้ำพุแห่งนี้ทำงาน จะมีน้ำปริมาณกว่า 7,000 ลิตรลอยอยู่ในอากาศเลยทีเดียว

น้ำพุ Jet d'Eauได้รับการติดตั้งในปี ค.ศ. 1886 ค่อนไปทางใต้เล็กน้อยจากตำแหน่งปัจจุบันซึ่งเมื่อแรกติดตั้งน้ำพุมีความสูงเพียง 30 เมตร ต่อมาในปี ค.ศ. 1891 น้ำพุถูกย้ายมาติดตั้งในตำแหน่งปัจจุบันเพื่อเฉลิมฉลองในงานเทศกาล 600 ปีการก่อตั้งสมาพันธรัฐสวิส และมีการเพิ่มความแรงของน้ำพุเป็นที่ความสูง 90 เมตร ในปี ค.ศ. 1951 มีการเพิ่มความแรงของน้ำพุอีกเป็นความสูงปัจจุบัน ซึ่งต้องสร้างสถานีสูบน้ำแยกต่างหาก

จุดชมน้ำพุ Jet d'Eau ที่ได้มุมสวยที่สุดแนะนำให้ไปที่กลางสะพานมงต์บลังก์ (Mong-Blance) ที่ใช้สำหรับข้ามทะเลสาบไปสวนอองเกลที่อยู่อีกฝั่ง และในบางวันที่เกิดลมแรงมาก อาจจะพลาดการชม น้ำพุ Jet d'Eau เพราะว่าเขากลัวละอองน้ำมารบกวนผู้อื่นหรือนักท่องเที่ยวต่างๆ



Happylongway ขอแนะนำเรื่องน้ำดื่ม หรือน้ำเปล่า ในการมาทัวร์สวิตเซอร์แลนด์ โดยปกติแล้วน้ำดื่มในสวิตเซอร์แลนด์นั้นก็คล้ายๆกับประเทศต่างๆในยุโรป หรือประเทศที่มีระบบน้ำประปาที่ดีในโลก ที่สามารถเปิดดื่มจากก๊อกได้เลย (Tap Water) และโดยเวลาไปทัวร์สวิตเซอร์แลนด์นั้น เราอาจจะซื้อน้ำดื่มจากซุปเปอร์มาเก็ต หรือร้านสะดวกซื้อต่างๆ โดยเมื่อดื่มหมดแล้วก็สามารถนำขวดมาไว้กรอกน้ำจากก๊อก (ข้อแนะนำให้ใช้ก๊อกน้ำอุณหภูมิปกติเท่านั้น ห้ามใช้ก๊อกน้ำร้อนเพราะอาจจะมีแก๊สเจือปนได้) เพื่อใช้ดื่มได้

โดยเราไม่ต้องกังวลเรื่องความสะอาดเลย เพราะเวลาเราไปรับประทานอาหาร ดื่มกาแฟ นั่งชิล ตามร้านต่างๆนั้น น้ำที่ร้านนำมาให้เราดื่มฟรีๆ ก็คือน้ำจากก๊อกน้ำ (Tap Water) นั่นเอง แต่ถ้าหากเราบอกว่า ขอน้ำดื่ม (Water) เฉยๆ ทางร้านจะเอาน้ำเปล่าแบบเป็นขวดมาให้ (เสียเงิน) และโดยส่วนใหญ่จะเป็นน้ำแร่จากธรรมชาติ (Mineral Water) และที่สำคัญนั้น ราคาก็จะแพงกว่าร้านซุปเปอร์มาเก็ต หรือร้านสะดวกซื้อทั่วไป

ราคาน้ำดื่มในสวิตเซอร์แลนด์นั้นก็ถือว่าไม่แพงมากนัก เมื่อเทียบกับค่าครองชีพ หรือรายได้ของชาวสวิส เช่นน้ำแร่ยี่ห้อดังๆ ทั่วไปขนาด 0.5 ลิตร ก็มีราคาประมาณ 0.8 ฟรังก์สวิส หรือแค่ราวๆ 28 บาทเท่านั้นเอง (1 ฟรังก์สวิส = 33 บาทไทย เรตจาก Superich เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2561) และก็ถ้าขวดขนาดใหญ่ 1.5 ลิตรก็ราคาไม่เกิน 1.8 ฟรังก์สวิส หรือประมาน 50 บาท ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับบ้านเราแล้วก็แพงกว่าประมาณ 5 เท่า แต่รายได้ต่อหัวของสวิตเซอร์แลนด์นั้น อยู่ที่ประมาน 170,000 บาท / เดือน (จากสถิติเมื่อปี 2017) ของไทย 17,000 บาท / เดือน (จากสถิติเมื่อปี 2017) สรุปง่ายๆ คือรายได้ต่อหัวของชาวสวิส มากกว่าไทยประมาน 10 เท่า แต่ซื้อน้ำเปล่าแค่ 5 เท่าของคนไทย คราวนี้เราก็พอจะรู้นะครับว่าคนไทยนั้นซื้อน้ำเปล่าแพงหรือถูก

ข้อควรระวังเวลาหยิบน้ำดื่มจากซุปเปอร์มาเก็ต หรือร้านสะดวกซื้อ อย่าลืมสังเกตว่าเป็นน้ำแร่ น้ำดื่มปกติที่คนไทยคุ้นเคย (Mineral Water) หรือจะเป็นน้ำเปล่าอัดแก๊ส (Sparking Water) ที่คล้ายๆกับโซดาในบ้านเรา ไม่งั้นท่านอาจจะระคายคอ แทบจะกระดกไม่ได้เลยทีเดียวเชียว (555)

ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก หนังสือสวิตเซอร์แลนด์ เล่มเดียวเที่ยวได้จริง



Happylongway ขอนำเสนออีกสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่ง ในการทัวร์สวิตเซอร์แลนด์ สถานที่ซึ่งได้รับสมญานามว่าเป็น ไข่มุกของริเวียร่าแห่งสวิส และมีชื่อในภาษาฝรั่งเศสว่าทะเลสาบเลมอง (Lac Léman) นั่นคือ "ทะเลสาบเจนีวา (Lake Geneva)"  นั่นเอง ทะเลสาบเจนีวาตั้งอยู่สุดปลายทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศสวิสเซอร์แลนด์ มีพื้นที่ติดประเทศฝรั่งเศสและอยู่ริมทะเลสาบเจนีวา มีประชากรประมาณ 2 ล้านคนจากหลากหลายเชื้อชาติ  ทะเลสาบเจนีวามีอายุมากกว่า 10,000 แล้ว เกิดจากการละลายของน้ำแข็ง พายุ และที่ราบจากภูเขา มีลักษณะของทะเลสาบจะคล้ายรูปพระจันทร์เสี้ยว มีพื้นที่ 582 ตารางกิโลเมตร มีความยาว 73 กิโลเมตร ความกว้าง 14 กิโลเมตร เป็นทะเลสสาบที่ใหญ่ที่สุดในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และเป็นแหล่งน้ำจืดที่ใหญ่เป็นอันดับสองของทวีปยุโรปกลางรองจากทะเลสาบบาลาต้นในประเทศฮังการี เป็นที่ตั้งของเมืองสำคัญคือเมืองเจนีวาในประเทศสวิตเซอร์แลนด์

กิจกรรมในการท่องเที่ยวบริเวณทะเลสาบมีมากมาย ทั้งล่องเรือ ช้อปปิ้ง ชมความงามของธรรมชาติ และนอกจากทะเลสาบเจนีวาจะเป็นจุดแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของเมืองเจนีวาแล้ว  บริเวณโดยรอบทะเสสาบก็ยังเต็มไปด้วยสวนสาธารณะและต้นไม้ ดอกไม้ที่งดงาม และยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่ห้ามพลากเช่นน้ำพุจรวดเจ็ทโด (Jet d-Eau) ที่มีน้ำพุพุ่งสูงถึง 400 ฟุต  ด้านเหนือทะเลสาบเจนีวานอกจากเต็มไปด้วยพื้นที่สีเขียวแล้ว ยังมีพื้นที่เขตเมืองเก่าที่มีตรอกซอกซอยที่มีความน่าสนใจทางประวัติศาสตร์ รวมถึงวิหารเซนต์ปิแอร์ (St Peter's Cathedral) ซึ่งมีอายุมากกว่า 850 ปี เขตเมืองเก่าตั้งอยู่ทางตอนใต้ของแม่น้ำโรห์นกั้นกลางระหว่าง Jardin Anglais และ Parc des Bastionsในเมืองมีพิพิธภัณฑ์และหอศิลป์ต่างๆ ให้เที่ยวชม อาทิ อาคารสหประชาชาติและพิพิธภัณฑ์กาชาด สำหรับนักช้อปปิ้งที่มองหาเครื่องประดับอัญมณี นาฬิกาข้อมือและเสื้อผ้าจากดีไซเนอร์ชื่อดังจะไม่ผิดหวังเช่นเดียวกัน และที่นี่ยังมีร้านอาหารชื่อดังมากมาย รวมทั้งมีโรงแรมอันหรูหรา มีดีไซน์ที่น่าประทับใจ ที่นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง

เมืองเจนีวา เป็นเมืองที่มีประชากรมากเป็นอันดับสองของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ (รองจากซูริก) ตั้งอยู่บริเวณที่แม่น้ำโรนไหลออกสู่ทะเลสาบเจนีวา เมืองเจนีวาได้รับการยกย่องว่าเป็นเมืองนานาชาติ (Global City) เนื่องจากเป็นที่ตั้งขององค์กรระหว่างชาติที่สำคัญหลายองค์กร เจนีวาเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนเทือกเขาแอลป์ ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และยังเป็นเมืองคมนาคมหลักของทวีปยุโรปอีกด้วย



HappyLongWay ขอแนะนำอีกสถานที่อีกที่หนึ่งในการทัวร์สวิตเซอร์แลน์ และทัวร์ยุโรป นั่นคือน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์และยุโรป "น้ำตกไรน์ (Rheinfall)"

น้ำตกไรน์ (Rheinfall) เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่สุดของทวีปยุโรป ตั้งอยู่บนแม่น้ำไรน์บริเวณทางเหนือของนครซือริช บริเวณพรมแดนระหว่างรัฐชัฟเฮาเซินกับรัฐซือริชในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ น้ำตกแห่งนี้มีความกว้าง 150 เมตรและสูง 23 เมตร โดยมีสถิติความแรงของกระแสน้ำไหลที่น่าทึ่งดังนี้

- ในฤดูหนาวมีกระแสน้ำไหล 250 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
- ในฤดูร้อนมีกระแสน้ำไหล 700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
- เมื่อปีค.ศ. 1965 กระแสน้ำมีกำลังแรงสูงสุดถึง 1,250 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
- เมื่อปีค.ศ. 1921 กระแสน้ำมีกำลังต่ำสุดเพียง 95 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที

**หมายเหตุ 1 ลูกบาศก์เมตร มีค่าเท่ากับ 1,000 ลิตร

น้ำตกไรน์ เป็นน้ำตกที่มีทัศนียภาพที่งดงามมาก เป็นแรงบันดาลใจให้ วิลเลียม เวิร์ดสเวิร์ท แต่งกวีถึงความงามอันเป็นอมตะของน้ำตกแห่งนี้ในปี 1821  และน้ำตกไรน์แห่งนี้นั้นปลาทั่วไปไม่สามารถว่ายขึ้นน้ำตกแห่งนี้ได้ มีเพียงปลาไหล (eels) เท่านั้นที่มีเทคนิคเฉพาะตัวในการไต่ขึ้นน้ำตก น้ำตกแห่งนี้ถือกำเนิดขึ้นในยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้ายเมื่อราว 14,000 ถึง 17,000 ปีที่แล้ว ปัจจุบันถือเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีผู้เยี่ยมชมมากที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์

เราสามารถนั่งเรือไปยังเกาะกลางน้ำตกซึ่งเป็นจุดชมวิวน้ำตกไรน์อย่างใกล้ชิด บนเกาะมีธงชาติสวิตเซอร์แลนด์ปักไว้เป็นสัญลักษณ์ โดยไปขึ้นเรือที่ Schlössli Wörth ซึ่งอยู่ไม่ไกล มีเรือให้บริการทุกๆ 10 นาที ในเดือน เม.ย. และต.ค. ตั้งแต่ 11.00-17.00 น., พ.ค. และก.ย. 10.00-18.00 น. และมิ.ย.-ส.ค. 09.30-18.30 น. ตั๋วแบบ Felsenfahrt (Panorama-Sicht) ไป-กลับ อยู่ที่จุดชมวิวได้ 20 นาที หรือจะนั่งเรือข้ามแม่น้ำไรน์ไปที่ Schloss Laufen ปราสาทในเขตการปกครอง Laufen-Uhwiesen

โดยบริเวณ น้ำตกไรน์  ก็มีร้านอาหาร ร้านกาแฟ แหล่งช้อปปิ้ง ลานน้ำพุต่างๆ ให้เดินเล่นกันอีกด้วย